Welcom to new mom blog

ยินดีต้อนรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ แชร์ประสบการณ์และหาความรู้เพิ่มเติม

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"เมื่อฉันแก่ตัวลง" รักที่หาจากไหนไม่ได้

อุ้ยได้อ่านบทความนึงค่ะ ถูกใจคุณแม่มือใหม่มากๆเลย ทำให้รู้สึกว่าชีวิตคนเรา การดำเนินชีวิต เหมือนกับวงกลม ไม่ว่าเราจะเริ่มต้นที่ตรงไหน จุดจบก็อยู่ตรงนั้น ในวงกลมชีวิต อ่านให้จบกันน่ะค่ะ จะได้รู้ว่าอะไรที่มีค่าที่สุดใน "ชีวิตเรา"
"เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายคนหนึ่งที่ตระเวนทั้งเรียน ทั้งทำงาน ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แม้เขาจะเติบกล้าเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆ ความรู้เพิ่มมากขึ้น โลกใบนี้เริ่มเล็กลง แต่พ่อแม่ที่อยู่บ้านเดิม(ในเมืองจีน)ก็เริ่มแก่ตัวลง ลูกคนนี้ทำงานอยู่ต่างประเทศ ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ได้ แต่ติดต่อกันทางจดหมาย โชคดีต่อมามีไอพีการ์ด เลยได้คุยสดกันบ้าง ทุกครั้งแม่ก็จะคอยเตือนให้ระวังสุขภาพของตัวเอง ตั้งใจทำงาน ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง
...ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่าแม่เริ่มคิดถึงเขามากจนกระทั่งปีนี้ แม่อายุ 75 ปี เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่โดยตั้งใจว่า จะอยู่สัก 1 เดือน จะไม่ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่ขออยู่เป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ
...แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการต้อนรับการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ ดึงเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...สำหรับคนอายุ 75 ปี เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยพอกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
...แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น ช่างไม่เหมือนแม่คนก่อนหน้านี้เลย..
แม่ใช้เวลาทั้งชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ โดยที่หาทราบไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว เพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย แม่หารู้ไม่ว่าเดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อนแม่จริงๆ สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้วแม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม “เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ผมพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง โดยเฉพาะสายตา อาหารบางจานมีแมลงวันด้วย บางทีอาหารหกบนเตา แม่ก็เก็บใส่จานตามเดิม
...ครั้นผมพยายามชวนแม่ไปกินนอกบ้าน แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด ของแปลกปลอมเยอะ
เมื่อผมบอกแม่ว่าจะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน แม่ก็โวยวายว่าแม่เองยังสามารถทำงานเลี้ยงดูเด็กให้ผู้อื่นได้เลย
ผมเลยพูดไม่ออก พอผมจะออกไปช้อปปิ้ง แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน พวกเราไม่ได้ไปช้อปปิ้งเลย..”
“พอพวกเราเริ่มคุยกันในเรื่องทันสมัย แม่ก็จะหาว่าพวกเราเพี้ยน ผมก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า แม่ นี่มันสมัยใหม่แล้ว
แม่ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆบ้าง... ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ผมเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่เคยทะเลาะกันนะ พอผมขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา ในตามีแววเหม่อลอย โลกซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ” “ได้เวลาที่ผมจะต้องเดินทางกลับ แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมาในนั้น เป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้ในช่วงที่ผมไปอยู่เมืองนอก แม่เริ่มสนใจข่าวต่างประเทศเมื่อผมเดินทางไปนอก ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในประเทศนั้นๆ แม่จะตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้ผมตอนที่ผมกลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่นอกบ้านนอกเมืองต้องระวังตัวให้มากๆ ครั้งหนึ่งมีเรื่อง คนญี่ปุ่นต่อต้านและข่มเหงคนจีน มีการปะทะกันด้วย
แม่เป็นห่วงมากถามเพื่อนบ้านว่าจะส่งข่าวไปเตือนผมที่ญี่ปุ่นได้อย่างไร ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่ญี่ปุ่น”
...แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบากวางใส่ในมือผมเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง มันหนักมาก ผมเริ่มรู้สึกลำบากใจเพราะผมไม่อยากนำกลับไป มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วผมรู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก แม่สายตาไม่ค่อยดีต้องใช้แว่นขยายอ่านได้วันละ2หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้ ทันใดนั้นมีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา แม่รีบเอื้อมไปหยิบแต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง ผมรู้สึกเอะใจเลยถามว่า“แม่นั่นกระดาษอะไรขอผมดูหน่อยนะ”แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้นแล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที ผมหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู
มันเป็นบทความบทหนึ่งชื่อว่า“เมื่อฉันแก่ตัวลง”ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อ วันที่ 6 ธันวาคม 2004 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที บทความนั้นคัดมาจาก นิตยสารฉบับหนึ่งของเม็กซิโก ฉบับเดือนพฤศจิกายน
...ผมอ่านบทความนั้นทันที ... เมื่อฉันแก่ตัวลง.....ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น ขอโปรดเข้าใจฉัน
มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ถ้าฉันทำน้ำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง....
...ถ้าฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า ขอให้คิดถึงตอนเธอเด็กๆ...ที่ฉันสอนเธอหัดทำทุกอย่าง
ถ้าฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ… ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆ ซากๆ จนเธอหลับเลย
ถ้าฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลยนะ ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ได้ไหม
ฉันต้องทั้งกอดทั้งปลอบเพื่อให้....เธอยอมอาบน้ำ
...ถ้าฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ โปรดอย่าหัวเราะเยาะฉัน…
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทนตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม ถ้าฉันเหนื่อยล้าจนเดินต่อไม่ไหว
ขอ....จงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดินในตอนที่เธอยังเล็กๆ
หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่โปรดให้เวลาฉันคิดสักนิด
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว....กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน......ฉันก็พอใจแล้ว
ตอนนี้ถ้าเธอเห็นฉันแก่ตัวลง...ไม่ต้องเสียใจ...
ขอให้เข้าใจฉัน....สนับสนุนฉัน
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอตอนเธอเพิ่งเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
ในตอนนั้น....ฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้....ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉันเดินไปให้สุดเส้นทางของชีวิต……
โปรด....ให้ความรักและความอดทนต่อ....ฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ....
ในแววตาอันฝ้าฟางของฉัน....มีแต่ความรักอันหาที่สิ้นสุดมิได้
ของฉันที่มีให้กับ..........เธอ"
...ผมอ่านบทความนั้นรวดเดียวจบทันที.... เกือบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ตอนนั้นแม่เดินออกมา
ผมแกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตอนแรก แม่คงอยากให้ผมได้อ่านบทความนี้หลังจากผมกลับไป
แล้วจึงคะยั้นคะยอให้ผมนำข่าวปึกนั้นกลับไป ตอนผมจัดกระเป๋าเดินทาง ผมต้องสละไม่เอาสูทกลับไป 1 ตัว
จึงยัดเก็บปึกข่าวเหล่านั้นเข้าไปได้รู้สึกแม่จะดีใจมากเหมือนกับว่า หนังสือพิมพ์เหล่านั้นเป็นยันต์โชคลาภ
สำหรับผมและเหมือนกับว่า การที่ผมยอมรับหนังสือพิมพ์เหล่านั้นผมได้กลับมาเป็นเด็กดี
ของแม่อีกครั้งหนึ่งแม่ตามมาส่งผมจนถึงรถแท็กซี่เลยที่เดียว หนังสือพิมพ์ที่ผมนำกลับมาเหล่านั้น
ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไรเลย แต่บทความ “เมื่อฉันแก่ตัวลง” บทนั้น ผมได้ตัดเก็บไว้ในกรอบเอาไว้ข้างตัวฉันตลอดไป...
ตอนนี้ ผมขออุทิศบทความนี้ ให้กับลูกๆทั้งที่พเนจรและไม่ได้พเนจรทั้งหลาย... ถ้ามีเวลาว่างก็แวะไปหาท่านหรือไม่ก็โทรไปหาท่านบ้าง
บอกท่านว่าคุณอยากกินอาหารที่ท่านทำเสมอ.... ท่านไม่ได้ต้องการอะไรจากเรามากไปกว่า...แค่ได้รับรู้ว่า
เราสุขสบายดี..ถ้าหากเราไม่สามารถไปเยี่ยมท่านได้... ตอนคุยโทรศัพท์กับท่าน...โปรดยิ้มให้กว้างๆ และยิ้มบ่อยๆ
แม้ท่านจะมองไม่เห็น..แต่ท่านจะรู้สึกได้......


***ไม่ได้ระบุที่มาไว้นะค่ะ รู้แต่ว่ามาจากภาษาจีน อุ้ยไม่ได้มีเจตนาทำลายสิ่งใด มีเจตนาดีๆ ที่อยากจะให้ทุกคนหันกลับไปมองพ่อแม่ที่บ้านที่นับวันก็จะอายุมากขึ้นทุกทีดูแลท่านดีๆนะค่ะ ขอบคุณค่ะ
รักแม่มากๆเลยค่ะ เดียววันอาทิตย์นี่เจอกัน จะซื้อขนมไปฝากน่ะค่ะ ^^

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สร้างศิลปินน้อยวัยเตาะแตะ

ศิลปะวัยเตาะแตะ คุณแม่ทั้งหลายฟังแล้ว อย่าเพิ่งตัดสินความสามารถของลูกเสียก่อน ว่าหนูทำไม่ได้หรอก ยากเกินไป เพราะการคิดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการปิดกั้นโอกาสลูกซะแล้ว เพราะอันที่จริง วัยเตาะแตะนี้สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้ง่าย เรื่องศิลปะจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหนูเลย ถ้าได้ฝึกอย่างมีชั้นเชิง
เด็กสามารถเรียนศิลปะได้ตั้งแต่วัยก่อน 1 ขวบ หรือถ้าจะให้พร้อมก็เมื่อเขาเริ่มเดินได้แข็ง และใช้มือได้คล่องขึ้น แต่ทั้งนี้วัยเตาะแตะก็ยังต้องการคุณแม่เป็นผู้ฝึกปรือคนสำคัญ ซึ่งข้อดีการสอนศิลปะให้เด็กตั้งแต่เล็กๆ นั้น คือสมองของหนูในช่วงวัยนี้ยังเต็มไปด้วยจินตนาการ จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้เร็วและซึมซับง่ายขึ้น

ศิลปะให้สิ่งดีๆ กับหนู
เพราะหนูน้อยวัยเตาะแตะได้ฝึกกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ ไปด้วย ขณะเดียวกันประสาทสัมผัสทางตาก็ได้ฝึกฝนให้ทำงานได้ประสานกันมากขึ้น อีกทั้งความคิดสร้างสรรค์สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่อได้สร้างสรรค์งานศิลปะ จึงช่วยในการพัฒนาสมองซีกซ้าย เด็กก็จะมีสมาธิ นิ่งและสนใจอะไรมากกว่าเด็กทั่วไป สรุปแล้วศิลปะถือเป็นการเริ่มต้นการเรียนรู้ขั้นแรกของเจ้าหนูนั่นเอง

แม่สอนหนูรักศิลปะ
1. ศิลปะขั้นแรกที่แม่ต้องสอนหนูนั้น เริ่มจากงานวาดภาพ โดยให้คุณแม่เรียนวาดภาพ แล้วสอนให้ลูกวาดตาม ตอนหัดวาดใหม่ๆ คุณแม่อาจต้องจับมือให้เขาฝึกการใช้ดินสอและสีให้คล่องเสียก่อน โดยภาพที่สอนเขาวาดจะมีความแตกต่างกันไปในทุกครั้งที่วาด เช่น บ้าน ที่มีภูเขา ต้นไม้ ท้องฟ้า ครั้งต่อไปก็มีการเปลี่ยนรูปทรงไปเรื่อยๆ เช่น การเพิ่มเส้น เพิ่มแสงเงา เพื่อให้ภาพดูต่างไปจากเดิม หนูก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงด้วย
ต่อมาเมื่อหนูจับดินสอเก่ง รู้สเต็ปของการวาดแล้ว ให้คุณแม่ร่างภาพที่คุณแม่วาด หรือรูปศิลปะแบบที่เข้าใจง่ายๆ ไว้ตรงหน้า ให้เขาเลียนแบบการวาดในช่วงแรกเสียก่อน แล้วปล่อยให้ลูกวาดตาม การทำเช่นนี้จะทำให้เขาเกิดจินตนาการขึ้นมาในสมอง และเขาก็จะสามารถวาดออกมาเป็นภาพที่สวยงามเป็นธรรมชาติ
2. วางดินสอ พู่กัน ที่ระบายสีและสมุดวาดเขียนไว้ตามที่ต่างๆ ของบ้านเช่น ห้องนอน มุมนั่งเล่น หรือการสรรหาภาพศิลปะสวยๆ มาวางเรียงรายไว้ตามมุมต่างๆ ของบ้าน เพื่อกระตุ้นให้เขาเกิดการอยากจับ อยากเขียน ให้เขารู้สึกว่าศิลปะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
3. บางครอบครัวมีการทาสีห้องใหม่ให้เป็นสีขาว จากนั้นก็ปล่อยให้ลูกระบายสีได้ตามจินตนาการ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะให้กับเด็กได้ เป็นห้องแสนโปรดที่เขาจะมีความสุขทุกครั้งที่เขาได้ทำ
4. หลังจากที่ลูกวาดภาพเสร็จ ถ้าผลงานนั้นออกมาน่าพอใจ ควรที่จะชื่นชมและยกย่องเพื่อให้กำลังกับลูก แต่ถ้ารู้สึกว่าผลงานนั้นขาดรายละเอียดไปบ้าง คุณแม่ควรพูดเสริมให้กำลังใจ เช่น ถ้าหนูลองเพิ่มเส้นตรงนี้ให้คมขึ้น ใส่เงาตรงนี้น่าจะดีนะ เป็นต้น

วัยเตาะแตะ
ศิลปะควรเริ่มจากง่ายๆ ให้เขามีพื้นฐาน เช่น การวาดภาพลายเส้นเพื่อให้เขารู้ว่า นี่เส้นตรงนะ เส้นหยัก เส้นเฉียง ฝึกการใช้ดินสอสี สีที่ใช้ในวัยเด็ก คือสีไม้ และสีเทียน อาจใช้รูปศิลปะที่มีความสวยงามให้เขาดูเป็นแบบเพื่อสร้างจินตนาการได้ แต่ไม่ควรแนะนำว่าลูกต้องวาดให้ได้อย่างนี้นะ ถึงจะสวย เพราะการชี้แนะเช่นนี้ เท่ากับเป็นการปิดกั้นความคิด และเขาจะตีกรอบศิลปะตามแบบของคุณแม่ ไม่ใช่มาจากจินตนาการข้างในของเขา
เชื่อว่า ถ้าลูกน้อยซึมซับและรักในงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นงานวาด งานปั้น งานอื่นใดก็ตาม สิ่งที่น้องหนูจะได้รับตามมาอย่างแน่นอน คืออารมณ์แบบศิลปินคือ อารมณ์ดี ใจเย็น ไม่วู่วาม เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีความดีหลากหลายด้าน ดังนั้น มาผลักดันให้ลูกลูกชอบศิลปะกันเถิดค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นิตยสารแม่และเด็ก

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

หัดกุหลาบ (ส่าไข้) โรคในเด็กเล็ก แม่มือใหม่ควรรู้จัก

โรคหัดกุหลาบ หรือ ที่เรียกๆกันว่า ส่าไข้ คุณแม่บางคนอาจจะเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่อย่างอุ้ยแล้ว เพิ่งจะเคยเจอนี่ละค่ะ ก็เลยเอาประสบการณ์มาเล่าให้คุณแม่ๆได้รู้จักกันค่ะ
.....วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดน้องเอ่เอ้ ที่ได้ลืมตาดูโลกใบนี้เป็นครั้งแรก อายุครบ 1 ขวบพอดี แต่..แล้วเรื่องที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น จากการที่ลูกไม่เคยป่วย หรือว่าเป็นหวัดเลย เมื่อเย็นวันที่ 31 สิงหาคม น้องเอ่เอ้ไม่ยอมกินข้าวเลย แม่จ๋าก็คิดว่า ลูกคงจะอิ่มขนม เพราะคุณยายมาเยี่ยมพอดี และตัวน้องเอ่เอ้เองก็ไม่ได้มีอาการซึม ที่บ่งบอกว่าลูกจะเป็นไข้ แม้แต่นิดเดียว กลับตรงข้าม ซนซะมากกว่าอีก ที่เห็นยายมาเยี่ยม
.....ช่วงดึก แม่จ๋าจับตัวลูก เริ่มตัวร้อนๆล่ะ ช่วงเช้าแน่ใจเลยว่าน้องเอ่เอ้ต้องเป็นไข้แน่ๆเลย ตัวร้อนจี๋เชียว แม่จ๋าทำได้ก็คือ คอยเช็ดตัวให้ลูก เพราะกลัวว่าลูกจะชัก เมื่อมีไข้สูงถึง 39.6 ข้าวก็ไม่ยอมกินเลย จะกินแต่ขนมปัง กับนมแม่เอง
.....แม่จ๋าพาน้องเอ่เอ้ไปถวายสังฆทานที่วัด น้องเอ่เอ้ก็ซนไม่อยู่นิ่งเลย ขนาดว่าตัวร้อนน่ะ ไม่มีน้ำมูก ไม่ไอ ตัวร้อนอย่างเดียวเลย ตอนเย็นแม่จ๋าพาน้องเอ่เอ้ไปหาหมอ หมอให้ยาลดไข้มากิน ทุกๆ 4 ชม. ถ้าถ้ากินยาลดไข้แล้ว ยังมีไข้อยู่ คุณหมอให้ไปเจาะเลือดที่ รพ.แม่จ๋าก็ทำตามที่คุณหมอบอกมาอ่ะน่ะ ช่วงดึกๆ น้องเอ่เอ้จะตื่นบ่อยมาก งอแงด้วย แม่จ๋าก็อดสงสารหนูไม่ได้ คอยนั่งจับตัวลูกอยู่ตลอดเลย
.....วันที่ 2 กันยายน ช่วงเช้าน้องเอ่เอ้ไข้ลดลง แม่จ๋ายังไม่อาบน้ำให้ก่อน เช็ดตัวอย่างเดียว และก็ยังให้กินยาอยู่ แต่ก็ยังไม่มีอาการซึมใดๆเลย ซนได้ปกติ และก็ยอมกินข้าวบ้างไม่เยอะ ช่วงดึกๆ ยังตื่นบ่อยเหมือนเดิม ไม่งอแงมาก
.....เช้าวันที่ 3 ตื่นเช้ามา แม่จ๋าอุ้มเดินผ่านหม้อหุงข้าว น้องเอ่เอ้ยกมือไหว้ใหญ่เลย ประมาณว่า อยากได้อะไรยกมือใหญ่ ขอบคุณไว้ก่อนอะไรประมาณนั้น แม่จ๋าก็ป้อนข้าวให้ไปคำหนึ่ง และก็จะกินอีก กินได้เยอะเลย เหมือนกับว่า หิวมากๆ ตัวไม่ร้อนแล้ว เข้าวันที่ 4 น้องเอ่เอ้เริ่มมีผดผื่นขึ้นตามตัว แผ่นหลัง ต้นคอ ใบหน้า โอ๊ย !!! แม่จ๋าตกใจมาก รีบพาไปหาหมอคนเดิมอีกครั้ง คุณหมอบอกว่า ไม่ต้องตกใจไปค่ะ ลูกเป็นโรคส่าไข้ คือจะเป็นผดผื่น แดงๆ หลังจากเป็นไข้นั้นเอง ไม่ต้องกินยาหรือว่าทายาอะไร ประมาณ 2-3 วันก็จะหายไปเอง  แม่จ๋านึกว่าลูกจะเป็นไข้เลือดออกซะแล้ว
.....กลับมาถึงบ้าน แม่จ๋าก็ทำการค้นหาอีกนั้นแหละว่า โรคส่าไข้ คืออะไร เป็นยังไง ไปเจอของนิตรสารบันทึกคุณแม่ น่าสนใจมากๆเลยค่ะ นำมาฝากกันค่ะ
.....ส่าไข้ หรือไข้ออกผื่น หรือบางคนเรียกว่าไข้ผื่นดอกกุหลาบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก ช่วงอายุประมาณ 6 เดือนถึง 3 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 6 เดือน-1 ปีครึ่ง อาจจะพบบ่อยที่สุด เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งเป็นเองหายเองได้ แต่อาการแทรกซ้อนของโรค เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ปกครองตกใจจนทำอะไรไม่ถูกได้เราจึงควรทำความรู้จักกับโรคนี้ และหาทางป้องกันอาการที่จะทำให้ต้องตกอกตกใจ
ส่าไข้หรือไข้ออกผื่น เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes ชนิดที่ 6 ติดมาทางน้ำลาย เช่น การดื่มน้ำจากแก้วเดียวกัน ทานอาหารช้อนเดียวกันเป็นต้น เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะฟักตัวประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะเริ่มมีการทำให้เด็กไข้สูงมากแบบทันทีทันใด และไม่ยอมลง แม้จะกินยา เช็ดตัวอย่างถูกวิธี ไข้ก็ยังสูงอยู่ อาจจะต่ำลงมาบ้างตอนที่กินยาลดไข้ใหม่ๆ และเช็ดตัว พอหยุดเช็ดตัวไข้จะขึ้นสูงอีกกระหม่อมเด็กอาจจะโป่งตึงได้ อาการอื่นๆ ไม่ค่อยชัดเจน ไม่ค่อยไอ น้ำมูกไม่ค่อยมี แม้เด็กจะไข้สูงมากแบบทันทีทันใด และไม่ยอมลง แม้จะกินยาเช็ดตัวอย่างถูกวิธี ไข้ก็ยังสูง อาจจะต่ำลงมาบ้างตอนที่กินยาลดไข้ใหม่ๆ และเช็ดตัว พอหยุดเช็ดตัวไข้จะขึ้นสูงอีก แม้เด็กจะไข้สูงก็ยังดูไม่ซึม ยังเล่นได้ กินได้ หลังจากมีไข้ประมาณ 3-4 วัน จะมีผื่นขึ้นเป็นจุดแดงๆ เล็กๆ ไม่นูน ผื่นมักจะปรากฏที่ตัก หน้า และคอ ที่แขนขามีน้อย เมื่อผื่นขึ้น ไข้ก็จะลงตามมาในเวลาไล่เรี่ยกัน วันที่ผื่นขึ้นวันแรกเด็กจะงอแง ร้องกวนมากกว่าตอนที่มีไข้ และอาจมีถ่ายเหลวสัก 1-2 วัน ผื่นจะค่อยๆ จางลงในเวลาประมาณ 3-4 วัน และที่สำคัญผื่นพวกนี้จะไม่คัน
ข้อควรระวังของโรคนี้ อยู่ที่อาการแทรกซ้อนของโรค ที่สำคัญคือเรื่องชักจากไข้สูง เพราะโรคนี้มักจะมีไข้สูงตลอด และชอบเป็นในเด็กหลังอายุ 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงอายุที่จะชักได้ง่าย โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่พ่อแม่เผลอหลับไป ดังนั้น เมื่อมีเด็กเป็นโรคนี้หรือสงสัยว่าจะเป็น ควรให้ยาลดไข้และเช็ดตัวตลอด ใช้น้ำก๊อกธรรมดาเช็ดที่ตัว เว้นปลายมือ ปลายเท้าที่มักจะเย็นอยู่แล้ว เวลาเด็กมีไข้สูง การเช็ดตัวให้ถูแรงสักหน่อย ให้ผิวหนังแดงๆ และที่สำคัญให้เน้นที่ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ บริเวณเหล่านี้มีเส้นเลือดขนาดใหญ่ จะช่วยให้ไข้ลดลงเร็วกว่าที่อื่น โดยโปะผ้าชุบน้ำเอาไว้แล้วเปลี่ยนบ่อยๆ เมื่อไข้ลงแล้วให้เช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าบางๆ ให้ความร้อนระบายได้ง่าย เด็กสามารถนอนเปิดแอร์หรือเป่าพัดลมได้ จะช่วยให้ความร้อนระบายได้ดีขึ้น
ถ้าเด็กเกิดชักขึ้นมา อาการชักจากไข้สูงโดยทั่วไปจะหยุดได้เอง ภายในเวลาไม่เกิน 4 นาที จึงมักไม่กระทบกระเทือนต่อสมองของเด็ก แต่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองตกอกตกใจได้ ถ้าลูกชักให้ตั้งสติให้ดี ระวังอย่าให้เด็กได้รับอันตราย เช่น ระวังอย่าให้ศรีษะกระแทกของแข็ง อย่าให้กัดลิ้นตัวเองจับหน้าหันไปด้านข้าง จะได้ไม่สำลักอาหารแล้วรีบเช็ดตัวให้ไข้ลดลง พร้อมกับนำส่งโรงพยาบาล เพื่อให้การวินิจฉัย และการรักษาที่ถูกต้องต่อไป


ต้องขอขอบคุณ นิตรสารบันทึกคุณแม่ ค่ะ ^^

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่า จากแม่คนนี้ที่รักลูก

.....แม้ชีวิตแม่จะพบการกับสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่นานนัก ปี 2551 งานแต่งงานของพ่อกับแม่ ก็กลายเป็นวันที่ปู่ของลูกได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากนั้นอีก 1 ปี แม่ก็ต้องสูญเสียตาของลูกไปอีกคน ในช่วงเวลา 2 ปี ที่แม่ต้องพบกับความเสียใจ ร้องไห้ แต่แม่ก็ยังยิ้มได้ เมื่อได้เห็นใบหน้าน้อยๆของลูกสาวของแม่
.....ช่วง 1 ถึง 3 เดือนแรกที่แม่ตั้งครรภ์ลูก มีแต่การรอคอยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือดของแม่ รอฟังผลตรวจเลือดของพ่อ รอฟังผล รอไปเจาะน้ำคร่ำ รอฟังผล ลูกรู้มั้ยว่าแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันของแม่ เหมือนแม่จะนับเป็นนาที ก็ว่าได้ แถมแม่ยังมีอาการแพ้ท้อง กินอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่นม แม่ก็ไม่อยากดื่ม ซึ่งก็โดนพ่อของลูกดุประจำ สิ่งที่ชอบทำมากที่สุดคือ การนอน เท่านั้น
.....พอเข้าเดือนที่ 4 อาการแพ้ท้องเริ่มลดลงแระ กินอาหารได้มากขึ้น แต่แม่ก็ต้องมาคิดหนักเรื่องผลการตรวจเลือด ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ตัวแม่เป็นพาหะธาลัสซีเมีย ซึ่งพ่อของลูกก็เป็นพาหะธาลัสซีเมียเหมือนกัน แถมยังเป็นขนิดเดียวกันอีกด้วย คือ ชนิด B เบต้า ซึ่งหมอที่แม่ฝากท้องลูกได้ส่งตัวแม่ไปเจาะน้ำคร่ำ การเจาะน้ำคร่ำผ่านไปด้วยดี หลังเจาะเสร็จ คุณหมอให้นอนดูอาการ แม่รู้สึกได้เลยว่าลูกดิ้นแรงมากๆ ตุบๆเลยท้องแม่
.....แม่รอผลการตรวจน้ำคร่ำเป็นเดือน ความรู้สึกแม่เหมือนเป็นปีเลยล่ะ การรอคอยนี้ช่างเหนื่อยเหลือเกิน
.....และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง แม่ไปฟังผลกับพ่อของลูก คำตอบที่แม่ได้รับก็คือ ลูกเป็นโรคธาลัสซีเมีย ใจของแม่แทบจะแตกเป็นชิ้นๆเมื่อได้ยินคำนั้น หูมันอื้อ พูดอะไรไม่ออก เสียงไม่รู้หายไปไหน น้ำตามันไหลโดยอัตโนมัติ แม่นั่งรอพบคุณหมอ ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป  ก่อนหน้านี้แม่ก็หาข้อมูลมาพอสมควร รู้แค่ว่า ถ้าตรวจพบว่าลูกในครรภ์เป็นโรค ก็ให้เอาลูกออก โดยการทำแท้ง แม่แทบล้มทั้งยืน คิดว่าทำไมเราอยู่ในส่วนของ 1 ทำไมไม่อยู่ในส่วนที่เป็น 4 ก่อนหน้านั้นแอบหวังว่าเราคงไม่โชคร้ายหรอกน๊า แต่สำหรับแม่โชคไม่เข้าข้างเลย
.....แต่เมื่อแม่พบคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่า ลูกของแม่เป็นโรคก็จริง แต่เป็นชนิดที่ไม่รุนแรงมาก สรุปก็คือ แม่สามารถที่จะตั้งท้องลูกของแม่ต่อไปได้ (แอบคิดไว้แล้วว่าถ้าคุณหมอให้เอาออก แม่จะไม่เอาออกแน่ๆ) แค่ได้ยินแม่ก็ดีใจมากๆ ถึงมากที่สุดแล้วลูกเอ๊ย ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นหญิงหรือชาย ของให้ครบ 32 ร่างกายแข็งแรง เท่านี้แม่ก็มีสุขใจแล้ว
.....ลูกรู้มั้ยว่าแม่นอนร้องไห้เกือบทุกคืนสงสารลูก ยังอยู่ในท้องแม่แท้ๆ มีโรคติดตัวซะแล้ว แต่ลูกก็ทำให้แม่คิดได้ว่า ถ้าแม่อ่อนแอ แล้วลูกของแม่จะเป็นยัง แค่นี้แม่ก็เปลี่ยนตัวเองใหม่ กินของที่มีประโยชน์ ทั้งๆที่ก่อนท้อง บางอย่างแม่ก็ไม่กิน ไม่ร้องไห้ เข้มแข็ง ไม่คิดมาก เพื่อลูกของแม่ รวมไปถึงการหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย ถึงแม่จะไม่ได้เก่งอะไรมากก็ตาม แต่แม่ก็หาความรู้ได้จาำก google ซึ่งสามารถที่จะตอบแม่ได้ทุกอย่าง
.....กำหนดคลอดของลูกคือ วันที่ 2 กันยายน 2552 แม่ตั้งใจไว้ว่าแม่จะคลอดลูกแบบธรรมชาติ ซึ่งแม่ก็หาข้อมูลมาอีกนั้นแหละว่า เด็กที่ผ่านช่องคลอดของแม่นั้น จะมีภูมิคุ้มกัน และลูกจะได้รับจุลินทรีย์ที่ดีด้วย จะทำให้ระบบทางเดินอาหารแข็งแรง ระบบย่อยและการดูดซึมที่ดีอีกด้วย
.....ซึ่งเด็กที่ผ่าคลอดจะไม่ได้รับตรงนี้ เด็กที่ผ่าคลอดและไม่ได้กินนมแม่ ต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า จึงจะมีจุลินทรีย์สุขภาพใกล้เคียงกับเด็กที่คลอดแบบธรรมชาติ ที่แม่ต้องเปลี่ยนหมอที่ฝากท้อง เพราะคุณหมอคนเก่าไม่รับฝากพิเศษแบบคลอดธรรมชาติ ตอนนั้นอายุครรภ์แม่ได้ 29 สัปดาห์
.....แม่หาข้อมูลไปเจอเกี่ยวกับการเก็บ Stem Cell ของลูก แม่กับพ่อก็คิดเหมือนกันว่า เราน่าจะเก็บ Stem Cell ของลูกน่ะ เพราะแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเลือด ซึ่งแม่ก็บอกไม่ถูกว่าต่อไป เมื่อลูกของแม่โตขึ้นมาแล้ว ลูกจะซีด ตัวจะเหลือง มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่า เก็บ Stem Cell จากสายสะดือของลูกก่อนดีกว่า ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ใช่คนที่มีเงินทองมากมาย แต่เพื่อลูก พ่อของลูกต้องทำงานเพิ่มเพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ไม่ใช่น้อยๆเลย แม่เลือกแบบผ่อนส่ง คือ ต้องจ่ายเงินให้เค้าทุกๆวันเกิดของลูก คือวันที่ 1 กันยายน 2552 แม่หวังว่าอนาคตต่อไปการแพทย์ก้าวหน้า สามารถรักษาโรคนี้ได้ (แอบหวังเล็กๆ หุหุ)
.....วันที่ 31 สิงหาคม 2552 คุณหมอนัดตรวจครรภ์ตามปกติ ใกล้วันคลอดเข้ามาทุกที แต่แม่ไม่มีอาการอะไรเลย คุณหมอตรวจปากมดลูกเปิด 2 เซน แระ ให้ไปโรงพยาบาลได้เลย ตัวแม่เองยังไม่อยากไป กลัวง่ะ 555+ แต่พ่อของลูกบอกให้ไปเตรียมตัวไว้ก่อนก็ดีน่ะ เพราะคุณหมอบอกว่าไม่น่าจะผ่านคืนนี้น่ะ แม่นอนที่ห้องรอคลอดทั้งคืน ไม่มีอาการเจ็บคลอดอะไรเลย ยังมานั่งกินขนม ถ่ายรูป อยู่หน้าห้องคลอดกับพ่อของลูก และอาๆของลูกด้วย
.....วันที่ 1 กันยายน 2552 เวลา 15.59 นาที เป็นวันเกิดของลูกสาวแม่ การคลอดแบบธรรมชาติก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ผิดปกติไปนิดนึงก็คือ คุณหมอต้องใช้เครื่องดูดสูญยากาศพาลูกออกมาจากช่องคลอด เพราะลูกตัวใหญ่มาก น้ำหนัก 3650 กรัม เมื่อเทียบกับร่ายกายของแม่ หลังจากที่ลูกคลอดออกมา แม่ก็ให้ลูกแม่ได้ดูดนมของแม่เอง ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของแม่อีกนั้นแหละ หุหุ เพื่อลูกๆ  แม่ได้เห็นหน้าลูกก็ดีใจมากๆ ดีใจที่สุด  พ่อและยายของลูกบอกแม่ว่า ลูกคุยอ้อแอ้เชียว มียิ้มด้วยน่ะ ทะเล้นจริงๆเลย อารมณ์ดีมากมาย
.....แม่ถามคุณหมอหลังคลอดลูกสาวแล้วว่า ลูกสาวของแม่สามารถตรวจเลือดได้เลยมั้ย เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย คำตอบก็คือ ต้องรอให้ลูกสาวของแม่อายุครบ 1 ขวบก่อน เพราะตอนนี้เลือดในตัวของลูกจะเหมือนกับเลือดของแม่ รอให้ร่างกายลูกผลิตเลือดเองได้สมบูรณ์เสียก่อน
แม่อยากจะบอกลูกว่า แม่รักลูกสาวคนนี้ที่สุดเลย เธอมีชื่อว่า เด็กหญิงณอัฏฐฤดี มีเดช ชื่อเล่นว่า น้องเอ่เอ้ค่ะ ^^

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การนวดสัมผัส ลูกน้อย

ห่างหายไปนานเลยค่ะ ไม่ได้อัพบล็อคเลย เพราะต้องพาเจ้าตัวเล็กไปเยี่ยมคุณยายค่ะ ไม่พาไปมีงอลแน่ๆ เหอๆ    ระหว่างนั่งรถไปอ่านหนังสือเจอเรื่องเกี่ยวกับการนวดสัมผัส น่าสนใจมากๆเลยค่ะ เลยเก็บมาฝาก คุณแม่มือใหม่กัน
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วสิ่งที่เราอยากเห็นก็คือ การพัฒนาการที่ดีสมวัยของลูก และอีกสิ่งหนึ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่คิดว่าสำคัญต่อพัฒนาการที่ดีของลูกก็คือ การนวดสัมผัสทารก ไม่ใช่แค่การพัฒนาทางด้้านร่างกายเท่านั้น แต่เวลาที่สองมือเราได้ไปสัมผััสตัวลูก เขาจะได้รับรู้ถึงความรัก ความเอาใจใส่ที่เรามีต่อเขา และยังทำให้เราได้ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้นอีกด้วย
การนวดสัมผัสเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และจิตใจ ทางด้านร่างกายจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เลือดมาไหลเวียนเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนนั้นดีขึ้น ส่วนทางด้านจิตใจ คุณพ่อคุณแม่ได้ถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่น ให้กับลูกน้อยด้วย และในขณะเดียวกันนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ให้กระตุ้นประสาทสัมผัสทางด้านอื่นๆด้วย จากการที่พูดคุย  จากการที่มองสบตา ลูกก็จะรู้ถึงความอบอุ่นที่คุณพ่อคุณแม่ให้กับเขา
การนวดสัมผัสมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศนั้น Dr.Tiffany Field ผู้อำนวยการสถาบันการนวดสัมผัสแห่งมหาวิทยาลัยไมอามี พบว่า ทารกเกิดก่อนกำหนด ที่ได้รับการนวดสัมผัสวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที เป็นระยะเวลา 10 วัน จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซนต์ แข็งแรง และกลับบ้านได้เร็วค่ะ สำหรับในประเทศไทยนั้น ก็ได้มีการศึกษาเช่นเดียวกัน ในทารกที่เกินก่อนกำหนด โดยทำการนวดวันละครั้ง ครั้งละ 15 นาที เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ก็พบว่า ทารกจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ และแข็งแรง ช่วยทั้งในด้านร่่างกายและจิตใจด้วยน่ะค่ะ
การเตรียมความพร้อมนั้น ต้องเตรียมทั้งคุณพ่อคุณแม่ผู้นวดด้วยจะต้องพร้อมที่จะนวด และลูกก็พร้อมที่จะนวดด้วย จะต้องเป็นช่วงที่เขาตื่น อารมณ์ดี ไม่อิ่มไม่หิว สถานที่ต้องดูว่าไม่ร้อน หรือว่าไม่เย็นจนเกินไป เพราะในช่วงที่นวดจะต้องถอดเสื้อลูกออก นุ่งแต่เฉพาะผ้าอ้อม และที่สำคัญก่อนการนวดผู้นวดจะต้องล้างมือให้สะอาดทามือด้วยผลิตภัณฑ์เด็ก ไม่ว่าจะเป็นแป้งหรือว่าโลชั่นก็ได้ เท่านี้ ลูกน้อย ก็ได้สัมผัสรักอุ่นๆจากมือคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ..^^

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

5 เรื่อง Probiotics ที่คุณแม่ควรรู้

จากสภาพแวดล้อมของทุกวันนี้จะมีทั้งมลพิษและเชื้อโรคที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกน้อยของเราๆป่วยง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติให้แก่ลูกน้อย เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้เขาสุขภาพแข็งแรง และผู้ช่วยคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอยางเป็นธรรมชาติ นั้นก็คือ โพรไบโอติกส์ (Probiotics) มาดูกันค่ะ ว่า 5 เรื่องที่คุณแม่ควรรู้มีอะไรกันบ้าง

  1. Probiotics (โพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์สุขภาพ) โพรไบโอติกส์ เป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ที่เมื่อลูกน้อยได้รับจุลินทรีย์นี้เข้าไปจะเกิดผลดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยปกป้องทางเดินอาหารจากเชื้อก่อโรค ทำให้ระบบทางเดินอาหารแข็งแรง ระบบย่อยและการดูดซึมสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย Probiotics ที่พบได้ เช่น บิฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria) หรือที่เรียกว่า บิฟิดัสและแลคโตบาซิลัส (Lactobacillus) เพราะเป็นจุลินทรีย์ที่ดีและมีประโชยน์ต่อร่างกายของลูกน้อย โพรไบโอติิกส์ จึงถูกเรียกว่า จุลินทรีย์สุขภาพ
  2. Probiotics (โพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์สุขภาพ)มีประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกน้อย มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกน้อยมากมาย ตั้งแต่ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกัน ภาวะท้องเสียและติดเชื้อในทางเดินอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ช่วยย่อยสารอาหารบางชนิด และสามารถสร้างวิตามินที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 12 วิตามินเค กรดโฟลิค ฯลฯ
  3. ลำไส่ใหญ่ คือ ที่อาศัยของ Probiotics (โพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์สุขภาพ) ระบบทางเดินอาหาร เป็นฐานทัพใหญ่ที่คอยผลิตกองทัพภูมิคุ้มกันกว่า 80 % ของระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกาย ให้ออกมาต่อต้านเชื้อโรค โดยเฉพาะบริเวณภายในลำไส้ใหญ่จะมี Probiotics อาศัยและเติบโตอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่ง Probiotics เหล่านี้จะเป็นประโชยน์ต่อร่างกายมาก ก็ต่อเมื่อมีจำนวนสมดุลกับจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆที่อาศับอยู่ด้วยกัน
  4. Probiotics (โพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์สุขภาพ) เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในทางเดินอาหาร ในเวลาปกติที่ร่างกายของลูกน้อยไม่ได้รับเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหาร จุลินทรีย์สุขภาพจะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการจับกินเชื้อโรค กระตุ้นการสร้าง lgA ซึ่งเป็นสารภูมิคุ้มกันชนิดเดียวกับที่พบในนมแม่ และกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ที่ส่งผลลดการเกิดภาวะภูมิแพ้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมบุกเข้าไปในระบบทางเดินอาหาร Probiotics ก็จะเริ่มทำหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร ด้วยปรับสมดุลจุลินทรีย์สุขภาพในทางเดินอาหารทำให้ชั้นเยื้อบุในทางเดินอาหารเรียงตัวกันติดแน่น เพื่อไม่ให้เชื้อโรครุกล้ำผ่านเข้าไปได้ และจุลินทรีย์สุขภาพจะแย่งจับกับผนังเยื้อบุทางเดินอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคเข้าไปสัมผัสกับเซลล์เยื้อบุได้
  5. นมแม่ แหล่งกำเนิด Probiotics (โพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์สุขภาพ) จากธรรมชาติ จากการศึกษาทางการแพทย์ ทำให้ทราบว่าในน้ำนมแม่ประกอบด้วย Probiotics นอกจากนี้ ส่วนประกอบของน้ำนมแม่มีสารอาหาร เช่น โปรตีนและฟอสฟอรัสในปริมาณที่เหมาะสม อัลฟ่า-แลคตัลบูมินในบริมาณสูง และคาร์โบไฮเดรตที่เป็นแล็คโตส 100 % ซึ่งเป็นอาหารสำคัญของจุลินทรีย์สุขภาพทำให้จุลินทรีย์สุขภาพเจริญเติบโตได้ดี เพราะฉะนั้น 99 % ของเด็กที่กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้น จึงมีจำนวน Probiotics อยู่ในทางเดินอาหารเป็นจำนวนมาก และทำให้สุขภาพแข็งแรงไปด้วย เพราะจุลินทรีย์สุขภาพช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และระบบการดูดซึมอาหารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่
จะเห็นได้ว่า นมแม่ มีประโยชน์มากมายซึ่งจะหาสิ่งที่เหมือนกันไม่ได้เลยค่ะ อุ้ยเป็นคุณแม่คนหนึ่งที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มาตลอด ตอนนี้ลูกสาว 10 เดือนกว่าแล้วก็ยังกินนมแม่อยู่ จะเชื่อมั้ยค่ะว่า น้องเอ่เอ้ไม่เคยเป็นหวัด ถึงขนาดต้องกินยา ต้องหาหมอเลย นอกจากนมแม่แล้ว น้องเอ่เอ้ก็กินข้าว ผลไม้ สุขภาพของลูกอุ้ยจะใส่ใจเป็นพิเศษไม่ว่าจะหาข้อมูลต่างๆและอุ้ยก็คิดว่า คุณแม่ทุกๆคนก็ใส่ใจในสุขภาพของลูกน้อยกันทุกคนค่ะ ^^

ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆจาก Modernmom

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ฟันดี ฟันสวย เริ่มต้นตั้งแต่ยังลูกน้อยยังเล็กๆ

พัฒนาการของฟันน้ำนม เริ่มการสร้างหน่อฟันน้ำนมในขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ มารดาที่มีอายุครรภ์ประมาณ 6 สัปดาห์ แล้วเริ่มโผล่พ้นเหงือกเมื่อเด็กอายุประมาณ 6-9 เดือน แล้วจะเริ่มมีซี่ต่อไปเริ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนลูกน้อยอายุประมาณ 2 ปีครึ่ง ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งหมด 20 ซี่ เท่านั้นยังไม่จบ เพราะปัญหามันมีอยู่ว่าเราจะสอนลูกน้อยให้รู้จักรักษาฟันน้ำนมให้อยู่กับเขาให้นานที่สุด โดยไม่มีปัญหาเรื่องฟันให้ปวดหัว คุณแม่ทราบมั้ยค่ะว่า ฟันน้ำนมก็ผุได้ ซึ่งเด็กจำนวนมากเป็นโรคฟันผุ กลุ่มอายุ 3 ปี ที่ฟันน้ำนมเพิ่งขึ้นครบ เป็นโรคฟันผุประมาณ 7 คน ในเด็ก 10 คน โรคฟันผุในเด็กลุกลามเร็ว เด็กที่ฟันผุจึงมักผุหลายๆซี่ เช่น ฟันผุในฟันหน้าบนทั้ง 4 ซี่ ซึ่งอาการฟันผุนอกจากจะทำให้ลูกน้อยเสียฟันน้ำนมเร็วกว่าเวลาอันควรแล้ว ยังทำให้เด็กทุกข์ทรมาน และเจ็บป่วย เพราะฟันผุที่ลุกลามถึงโพรงประสาทฟันจะทำให้เด็กปวดฟัน กินอาหารได้ลำบาก รูฟันผุเปรียบเสมือน หลุมของ เชื้อโรค เป็นแหล่งเพิ่มจำนวนและเชื้อโรคอาจจะแพร่กระจายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบบวม และทำให้ลูกน้อยเจ็บป่วย
อาการเริ่มแรก แสดงว่าฟันผุ
คราบจุลินทรีย์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฟันผุ ซึ่งประกอบด้วย สารโปรตีนจากน้ำลายและเชื้อจุลินทรีย์ชนิดที่ทำให้ฟันผุ ลักษณะเหนียวเกาะติดกับผิวฟัน มองเห็นเป็นคราบสีขาว หรือสีเหลือง มักเรียกว่า ขี้ฟัน อาหารของเชื้อโรคฟันผุ คือ แป้ง และน้ำตาล เมื่อเชื้อโรคใช้อาหารแล้ว จะปล่อยกรดออกมา ทำให้ฟันสูญเสียแร่ธาตุแข็งออกจากตัวฟัน ผลึกฟันจะเปื่อยยุ่ย และกลายเป็นรูผุ การป้องกันฟันผุที่ได้ผล คือ การกำจัดคราบจุลินทรีย์ด้วยการแปรงฟัน การบ้วนปากไม่สามารถทำให้คราบจุลินทรีย์หลุดออกไปได้
ทำความสะอาด หัวใจป้องกันฟันผุ
การทำความสะอาดช่องปากลูกน้อย หากเป็นทารกแค่ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำสะอาดเช็ดสันเหงือก กระพุ้งแก้ม ให้ทั่วทั้งปากในช่วงเวลาที่อาบน้ำ แต่หากลูกน้อยโตพอที่จะมีฟันบดเคี้ยวอาหารควรให้ทำดังนี้
การแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์
วิธีแปรงฟันให้เด็ก แปรงให้ลูกน้อยโดยการถูไปมาตามแนวนอนคล้ายถูพื้น ขยับสั้นๆฃ้ำๆประมาณ 10 ครั้ง แล้วจึงขยับแปรงที่อื่น แปรงให้ทั่วทุกซี่ วิธีแปรงฟันแบบถูไปมาเหมาะกับโครงสร้างฟันน้ำนมที่มีส่วนป่องที่คอฟัน ทำให้คราบจุลินทรีย์หลุดออกได้ง่าย ขนแปรงไม่เป็นอันตรายต่อเหงือก และฝึกหัดให้ลูกน้อยแปรงเองได้

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับการทำให้นอนหลับได้มากขึ้น

การพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือการนอนหลับ สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ การนอนหลับสำคัญมากๆค่ะ นอกจากทำให้คุณแม่ได้พักผ่อนแล้ว ก็จะเป็นผลพลอยได้สำหรับลูกน้อยด้วย เมื่อคุณแม่แข็งแรง ลูกก็จะแข็งแรงตามไปด้วย 
  • งดการดื่มชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม ในตอนเย็น และก่อนนอน
  • พยายามเลี่ยงการดื่มน้ำในปริมาณมาก หรืออาหารมื้อใหญ่ ในระหว่าง 3 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะจะทำให้คุณแม่อึดอัดมากขึ้นค่ะ เมื่อนอนหงาย
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การทำกิจกรรมที่ตื่นเต้น เช่นดูภาพยนตร์ หรือว่าเล่นเกมส์ คุณแม่ควรจะทำร่างกายให้สบาย อาจจะดื่มนม หรือว่าน้ำเต้าหู้อุ่นๆ ก่อนนอน
  • ทำให้ห้องนอนของคุณแม่สบาย ปรับปรุงเตียงให้น่านอน อากาศถ่ายเทสะดวก
  • พยายามเข้านอน และตื่นนอนในเวลาเดิมทุกวัน ภายในสมองของคนเราจะเหมือนมีนาฬิกาภายใน การเข้านอน และตื่นนอนในเวลาเดิมจะทำให้นอนหลับได้มากขึ้น และร่างกายไม่อ่อนเพลีย
  • หากการตื่นนอนจากการเป็นตะคริว ให้ลุกขึ้นยืน หรือว่าเหยียดปลายเท้าเข้าหาผนัง จะทำให้อาการดีขึ้น คุณแม่ควรตรวจดูว่า คุณแม่กินแคลเซียมได้ครบตามที่คุณหมอสั่งหรือเปล่า
  • หากคุณแม่มีความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์มาก คุณแม่อาจจะพูดคุยกับเพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่เคยมีประสบการณ์ หรือเข้าอบรมการเป็นคุณแม่มือใหม่ การได้รับรู้ขั้นตอนการคลอดและการเลี้ยงลูก หรือมีเพื่อนที่ตั้งครรภ์ด้วยกัน จะทำให้คุณแม่ลดความกังวลลงได้


วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อาหารกับพัฒนาการของลูกน้อย

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยขวบปีให้เติบโตแข็งแรงสมวัย การที่ลูกน้อยจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และมีร่างกายที่แข็งแรงได้นั้นต้องได้รับประทานอาหารหลักครบ 5 หมู่ทุกวัน และควรได้รับประทานสารอาหารในกลุ่มอาหารสมองเป็นประจำ กลุ่มอาหารบำรุงสมองเพื่อลูกน้อยประกอบด้วย

DHA ดีเอชเอ มีมากในปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลม่อน ปลาซาร์ดีน
ประโชยน์ ช่วยในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ และความจำ

วิตามินบี 1 มีมากในเนื้อหมู ข้าวซ้อมมือ ถั่ว งา ข้าวโพด กะหล่ำปลี คะน้า ผักกาดหอม และถั่วงอก
ประโยชน์ ช่วยบำรุงปราสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลายประสาท และยังช่วยในการหมุนเวียนโลหิต รวมทั้งสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกายด้วย

วิตามินบี 2 มีมากในถั่วลิสง ถั่วเหลือง รำ แอปเบิ้ล คะน้า ผักกาด ผักใบเขียว และตับ
ประโยชน์ ช่วยในกระบวนการเมทาโบลิซึมของสารอาหารให้ได้พลังงานและบำรุงประสาท

วิตามินบี 6 มีมากในเนื้อสัตว์ ข้าวซ้อมมือ ถั่วเหลือง ข้าวโพด และถั่วต่างๆ
ประโยชน์ ช่วยบำรุงประสาทเกี่ยวข้องกับความจำ บำรุงกล้ามเนื้อ ผิวหนัง และช่วยสร้างเม็ดเลือด

วิตามินบี 12 มีมากในเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์ จากสัตว์ ไข่ นม และปลา
ประโยชน์ ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การทำงานของระบบประสาท และสมองเกี่ยวข้องในการสร้างฉนวนหุ้มใยประสาท อันจะทำให้เซลล์ประสาททำงานได้อย่างเป็นระบบ

วิตามินซี มีมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะเขือเทศ กล้วย ส้ม ฝรั่ง กะหล่ำปลี และผักต่างๆ
ประโยชน์ ช่วยให้วิตามินอีทำงานได้อย่างเต็มที่ในการรักษาโครงสร้างเซลล์ประสาท และสมองไม่ให้ถูกทำลายจากสารอนุมูลอิสระ อันเนื่องมาจากมลพิษต่างๆ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายไม่ให้ติดเชื้อโรคง่ายๆ

เหล็ก มีมากในเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง เช่น เนื้อหมู รำข้าว ฟองเต้าหู้ ใบตำลึง ถั่ว และมะเขือพวง
ประโยชน์ ช่วยสร้างเม็ดเลือด และสร้างฉนวนหุ้มใยประสาท ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการทำงานของสมองและสติปัญญาของลูกน้อย

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อัลตราซาวด์ 4 มิติ

อัลตราซาวด์สี่มิติ คือ การตรวจอัลตราซาวด์แบบใหม่ ที่สามารถทำให้เห็นภาพทารกในครรภ์เสมือนจริง โดยที่หลักการในการตรวจอัลตราซาวด์ก็ยังเป็นเช่นเดียวกับการอัลตราซาวด์ธรรมดา คือใช้การส่งคลื่นเสียงความถี่ออกไปจากหัวตรวจ (Transducer) แล้วรับสัญญาณสะท้อนกลับจากเนื้อเยื่อชั้นต่างๆ นำมาประมวลผลและสร้างขึ้นเป็นภาพ
ในอัลตราซาวด์สองมิติแบบธรรมดา หัวตรวจจะส่งคลื่นเสียงความถี่ที่มีลักษณะเป็นระนาบเดียว ซึ่งคลื่นเสียงมีลักษณะเหมือนแผ่นกระจกแบนๆนั้นเอง ดังนั้นภาพที่ได้จากอัลตราซาวด์สองมิติก็จะเป็นภาพตัดขวางของวัตถุนั้นๆ คือเราจะเห็นภาพตัดขวางของส่วนก้นและอวัยวะเพศของทารก
ในการสร้างภาพ 4 มิติ หัวตรวจและอุปกรณ์ประมวลผลจะมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยหัวตรวจจะส่งคลื่นเสียงในลักษณะหลายระนาบ ซึ่งคลื่นเสียงที่ออกมาจะมีลักษณะเหมือนแผ่นกระจกที่กวาดไปมา ดังนั้นจะมีการเก็บข้อมูลของวัตถุอย่างต่อเนื่องกัน ข้อมูลที่ได้จะถูกประมวลผลและสร้างเป็นภาพสมามิติ โดยมิติที่ 3 ที่เพิ่มขึ้นมาคือ "ความลึก" ซึ่งจะทำให้ภาพนั้นมีลักษณะเสมือนวัตถุจริง คือเห็นลักษณะของพื้นผิวในบริเวณที่ตรวจ ไม่ใช่ภาพตัดขวางของวัตถุ เราจะเห็นภาพของส่วนก้นและอวัยวะเพศทารกเป็นภาพเหมือนจริง และความซับซ้อนมากนั้นมีมากขึ้นไปอีก โดยเครื่องจะทำการเก็บภาพสามมิติ แต่ละภาพในระหว่างช่วงเวลาแล้วแสดงผลต่อเนื่องกัน ทำให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับภาพยนต์ นั้นจึงเป็นที่มาของชื่อ อัลตราซาวด์ 4 มิติ เนื่องจากมิติที่ 4 คือ "เวลา" นั้นเอง

ขอขอบคุณสำหรับเนื้อหาดีๆ : ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เสียงเพลงกับพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

ว่าที่คุณแม่หลายคนมีข้อสงสัยว่า เมื่อไหร่ควรจะเริ่มเปิดเพลงให้ลูกน้อยในครรภ์ฟังหรือจะเปิดเพลงอะไรดี จริงๆ แล้วเวลาที่เหมาะกับการเริ่มเปิดเพลงให้ลูกฟังนั้น ควรจะเริ่มเปิดเพลงที่คุณแม่ชื่นชอบ ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขสบายอารมณ์ไปพร้อมๆกับลูกน้อย ซึ่งจะเริ่มได้ในช่วงตั้งครรภ์ 5 เดือน
เนื่องมาจากเดือนที่ห้า พัฒนาการของทารกจะมีอวัยวะครบทุกส่วน ร่างกายสมบูรณ์แล้วโดยเฉพาะประสาทการรับรู้ได้ได้ยิน สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเพลงที่จะเสริมสร้างสมองให้ลูกต้องเป็นเพลงคลาสสิกหรือต้องโมซาร์ทเท่านั้น ความจริงแล้วคุณแม่สามารถฟังเพลงได้ทุกประเภทที่ชอบ อาจจะเป็นบทสวดมนต์ เพลงไทยเดิม หรือดนตรีที่มีโน๊ตจากเครื่องดนตรีประเภทใดประเภทหนึ่งก็ได้ เพราะถ้าหากคุณแม่มีความสุขทารกที่อยู่ภายในครรภ์จะได้รับความสุขไปด้วย มีผู้เชี่ยวชาญได้ให้ข้อสังเกตุที่น่าฟังไว้ว่า การสังเกตุว่าลูกมีการตอบสนองหรือไม่นั้น เวลาที่คุณพ่อหรือคุณแม่เปิดดนตรีให้ลูกฟัง หากเป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ สบายๆ ทั้งคุณแม่และลูกน้อยจะผ่อนคลาย หากเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็ว ลูกจะดิ้นแรงมีปฏิกิริยาตอบสนอง โดยคลื่นเสียงช่วยปรับให้สมองมีการพัฒนาด้านดนตรี
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ช่วงรอเวลานับถอยหลังเพื่อพบหน้าตาจิ้มลิ้มของลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมหาเพลงไพเรอะที่ชอบมาเปิดให้ลูกน้อยในครรภ์ฟัง เมื่อคลอดออกมาก็จะเป็นหนูน้อยอารมณ์ดีมีความสุขสมดั่งใจคุณพ่อคุณแม่

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การฝึกลูกน้อยนั่งกระโถน

ได้เวลาคุณแม่มือใหม่ ฝึกลูกน้อยนั่งกระโถนกันค่ะ ซึ่งคุณแม่เริ่มที่จะฝึกลูกน้อยได้ช่วงที่ลูกน้อยเริ่มนั่งได้ จะอยู่ในช่วง 6 เดือน ก็สามารถฝึกลูกน้อยให้นั่งกระโถนได้แล้วล่ะค่ะ แต่ต้องคอยจับหลังให้ลูกด้วย เพราะลูกน้อยจะไม่ชินกับการนั่งกระโถน จะดิ้นไป ดิ้นมา คุณแม่ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆฝึกลูกน้อยไปทีละนิดละหน่อยค่ะ เรื่องที่จะให้ลูกน้อยนั่งกระโถน เพื่อเป็นการฝึกการขับถ่าย ซึ่งเด็กแต่ละคนจะประสบความสำเร็จไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของเด็กแต่ละคนว่าพร้อมมากน้อยแค่ไหนค่ะ มาดูเทคนิคเล็กๆน้อยในการฝึกลูกน้อยนั่งกระโถนกันค่ะ
  • คุณแม่ลองเอากระโถนไว้ในห้องน้ำหรือที่ที่ที่ลูกน้อยสามารถมองเห็นได้ชัด และบอกให้ลูกน้อยทราบว่ากระโถนนี้ใช้เพื่อทำอะไร
  • หากลูกน้อยถ่ายอุจจาระเป็นเวลาในแต่ละวัน คุณแม่อาจจะถอดผ้าอ้อมลูกน้อยออก แล้วชักชวนให้ลูกน้อยไปถ่ายใส่กระโถนดูบ้าง ถ้าลูกน้อยทำท่าไม่พอใจหรือว่าหงุดหงิดที่จะถ่ายใส่กระโถน ก็ให้กลับไปใส่ผ้าอ้อมเหมือนกัน แล้วค่อยลองใหม่ในอีก 2 อาทิตย์ถัดไป
  • กระโถนที่มีสีสรรหรือลวดลายการ์ตูนก็อาจจะดึงดูดความสนใจของลูกน้อยได้ค่ะ
  • เมื่อลูกน้อยส่งสัญญาณว่าอยากจะไปถ่ายไม่ว่าจะถ่ายหนักหรือว่าเบา คุณแม่ลองพาไปนั่งกระโถนหรือว่าเข้าห้องน้ำ แต่ถ้าไม่ทันลูกน้อยทำเลอะเทอะเสียก่อน ไม่ควรตำหนิหรือว่าทำโทษลูกน้อย แต่ให้บอกและเชิญชวนให้นั่งกระโถนหรือว่าเข้าห้องน้ำ ในอาทิตย์ถัดไปให้คุณแม่ลองใหม่อีกครั้ง
  • ในช่วงปลายขวบปีแรก คุณแม่อาจสังเกตเห็นได้ว่า หลังจากกินนมไปได้ 10-15 นาที ลูกน้อยจะเกิดความรู้สึกอยากจะถ่าย คุณแม่อาจจะเริ่มสอนเค้าให้คุ้นเคยกับกระโถน โดยการจับเค้านั่งกระโถนแล้วประคองไว้อย่างนั้น จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกมาเรียบร้อยแล้ว ให้ทำอย่างนี้สักประมาณ 2 สัปดาห์ลูกน้อยจะเรียนรู้ด้วยตัวเองว่า เมื่อเขากินนมไปประมาณ 10-15 นาที เขาต้องถ่ายอุจจาระหรือว่าปัสสาวะ ก็เป็นการเริ่มต้นการฝึกการขับถ่ายที่ดีค่ะ
  • ก่อนที่ลูกน้อยจะนั่งกระโถน คุณแม่อาจจะชวนลูกน้อยว่า ฉี่หน่อยนะลูก หรือ อึหน่อยน่ะค่ะ แล้ว พูดว่า ฉี่...ฉี่ หรือ อึ...อึ ตามไปด้วยเมื่อลูกน้อยเสร็จกิจ ก็ชมเชยลูกน้อยสักหน่อยว่า ลูกเก่งจังเลยน่ะจ๊ะ ก็จะเป็นการสร้างความภูมิใจให้กับลูกน้อย
  • การสังเกตอาการ หรือสีหน้าของลูกน้อยที่แสดงให้เห็นว่าเขาอยากกจะถ่ายแล้ว คุณแม่ควรถามลูกน้อยตรงๆว่า ตอนนี้หนูปวดฉี่หรือเปล่าจ๊ะ เมื่อคุณถามตรงๆแบบนี้ ลูกน้อยก็จะเริ่มเรียนรู้ว่า เมื่อเขาอยากจะถ่ายจะต้องบอกก่อนทุกครั้ง
น้องเอ่เอ้เริ่มนั่งกระโถนครั้งแรก ร้องไห้ใหญ่เลยค่ะ Ouy เว้นไปสัก 2 อาทิตย์ ก็เริ่มใหม่ เค้าเริ่มไม่ร้องไห้ เปลี่ยนเป็นเล่นซะงั้น นั่งไม่นิ่งเท่าไหร่ จับโน่น นี่ ไปเรื่อยๆ คุณแม่ต้องคอยจับไว้ตลอดเลยค่ะ ยังไงซะก็ขอให้คุณแม่มือใหม่ทุกคนฝึกลูกน้อยนั่งกระโถนกันสำเร็จน่ะค่ะ..^^ (อย่าลืมค่ะ ต้องใจเย็นๆด้วยน่ะค่ะ)

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หลากหลายวิธี การคุมกำเินิด คุณแม่หลังคลอด

การวางแผนการคุมกำเนิดแต่ละวิธี ต่างมีข้อดี ข้อเสีย ที่แตกต่างกันไป คุณแม่มือใหม่หลังจากการคลอดลูกน้อยแล้ว ก็ต้องมีการวางแผนในการคุมกำเนิด ซึ่งคุณแม่มือใหม่ สามารถเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดคะ
  • ยาเม็ดคุมกำเนิด ข้อดีคือ มีประสิทธิภาพสูง หาซื้อง่าย สามารถหยุดยาได้ทันทีที่ต้องการ ข้อเสียคือ อาจจะเกิดอาการข้างเคียง เช่น อ้วน ทำให้กินข้าวได้เยอะ ปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นเฉพาะบางคนเท่านั้น ยาเม็ดคุมกำเนิดไม่เหมาะสำหรับคุณแม่มือใหม่เท่าไหร่คะ เพราะว่าคุณแม่จะต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วย อาจจะลืมทานยาได้ การจะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ผู้ใช้ยาต้องรับประทานยาให้ตรงเวลาและต่อเนื่อง การลืมรับประทานยาตั้งแต่ 2 เม็ดขึ้นไป อาจจะทำให้ตั้งครรภ์ได้คะ
  • ยาฉีดคุมกำเนิด เป็นฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนอย่างเดียว ฉีด 1 เข็ม อยู่ได้ 3 เดือน ข้อดี คือ สะดวก ราคาไม่แพง ไม่ต้องรับประทานยาเม็ด วิธีนี้เหมาะ สำหรับคุณแม่หลังคลอด ข้อเสียจะมีเลือดออกกะปริดกะปรอย หรือประจำเดือนขาดสูงกว่ายาเม็ดคุมกำเนิด
  • ยาฝังคุมกำเนิด เป็นฮอร์โมนในหลอดฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขน คุณแม่ที่เลือกใช้วิธีนี้ ต้องห้ามยกของหนัก ต้องให้คุณหมอเป็นคนฝังเข็มให้ ข้อดี สามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี ข้่อเสีย จะมีเลือดออกกะปริกะปรอยตลอด (บางครั้งคุณแม่อาจจะหงุดหงิด ที่ต้องใส่โซฟีหรือผ้าอนามัยตลอดทั้งเดือน)
  • ห่วงอนามัย เป็นวัสดุรูปตัว T วางไว้ในโพรงมดลูก ทำให้โพรงมดลูกไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน วิธีนี้ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนักในบ้านเรา ข้อดี สามารถคุมกำเนิดได้นาน 8-10 ปี ข้อเสีย มีสายโผล่ที่ปากมดลูกให้เห็น และมีโอกาสที่ห่วงจะหลุดหรือเคลื่อนที่ได้
การเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุด ก็ต้องปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ ยิ่งสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องให้นมลูกน้อยด้วย ต้องปรึกษาคุณหมอ เพราะยาคุมบางชนิดจะทำให้น้ำนมหยุดไหลได้คะ ^^

วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 สูตรสวยหลังคลอด ด้วยธรรมชาติ

เป็นคุณแม่มือใหม่(new mom)เต็มตัวแล้วนะคะ หลังคลอด แต่ก็อย่าปล่อยให้ใบหน้า มันวาว เป็นขุย ดูไม่จืดเอาเสียเลย แม้ว่าจะเป็นแม่ลูกอ่อนก็ต้องดูแลความสวยความงาม กลับคืนมา โดยที่ไม่ต้องไปเข้าคอร์สพอกหน้าอะไร ที่ไหนหรอกค่ะ ทำกันที่บ้านนี่แหละ สวยจากธรรมชาติ มีมาฝากหลายสูตรคะ เลือกให้เหมาะสมกับผิวของตัวเอง แล้วก็ลงมือ สวย กันคะ ^^
ผิวมัน คนที่ผิวมัน หน้าจะเป็นมันเยิ้มได้ง่าย นอกจากการล้างหน้าบ่อยๆแล้ว ยังมีวิธีที่ช่วยลดความมัน รูขุมขนกระชับ ขจัดไขมันที่อุดตัน ทำให้ผิวหน้าสดใส เกลี้ยงเกลา ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่ผสมน้ำมันเด็ดขาด
  • ไข่พอกหน้า ไข่ขาวและนมอย่างละ 1 ช้อนชา ตีให้เข้ากัน หยดน้ำผึ้งและน้ำมะนาวอย่างละ 2-3 หยด คนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นขอบดวงตาและริมฝีปาก ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • ผักโปะหน้า หั่นแตงกวา หรือมันฝรั่งเป็นแว่นๆ (ไม่ต้องปอกเปลือก) วางไว้บนหน้า ทิ้งไว้สัก 15 นาที จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น โดยเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนๆคะ
  • ยีสต์ 1 ช้อนโต๊ะ (หรือ 1 ก้อน) ละลายน้ำพอเหลว ใช้ทาหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ผิวแห้ง คนที่ผิวหน้าแห้ง จะเป็นขุยและเห็นรอยเหี่ยวย่นได้ง่าย จึงต้องดูแลให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวเสมอ โดยเฉพาะรอบดวงตาซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางมากที่สุด
  • น้ำผึ้งกับกล้วยน้ำว้า 1 ลูก ครูดเอาแต่เนื้อ ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • ไข่กับน้ำผึ้ง ใช้ไข่แดง 1 ฟอง ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • โยเกิร์ตกับนม ผสมโยเกิร์ตกับนมเปรี้ยวในอัตราส่วนที่เท่าๆกัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ผิวธรรมดา ดูแลผิวให้สะอาดให้เสมอ เพื่อรักษาสภาพผิว ไม้ให้แปรเปลี่ยนเป็นสภาพอื่น
  • มะนาวกับน้ำผึ้ง เติมน้ำเดือดราว 2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ให้อุ่น นำมานวดหน้าให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • แอปเบิ้ลกับน้ำผึ้ง แอปเบิ้ล 1 ลูก ปั่นไม่ต้องปอกเปลือก แต่ล้างให้สะอาด เหยาะน้ำผึ้งกับนมพร่องไขมันลงไปอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้นวดหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
  • สตรอเบอรี่กับเนยเหลว ใช้สตรอเบอรี่ 10 ผล ใส่เนยจืดและน้ำมะนาวอย่างละ 1 ช้อนชา ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
สูตรผิวเย็นสดชื่น
  • ครีมสะระแหน่ สะระแหน่ 1 ช้อนโต๊ะ กับนม 1 ถ้วย ขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ อย่าให้เดือด ประมาณ 5 นาที ยกลงตั้งไว้ให้เย็น กรองาะระแหน่ออก เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน นำไปทาหน้า ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้รู้สึกได้ว่าสดชื่นขึ้นจริงๆคะ
เป็นไงบ้างคะ 10 สูตร เลือกให้เหมาะสมกับผิวหน้าของคุณแม่เองนะคะ แค่เนี้ย ความสวย จะไปไหนซะ แถมยังประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย ^^

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

การนอนหลับ กับ พัฒนาการของลูกน้อย

การนอนหลับอย่างเพียงพอ เป็นช่วงเวลาที่มีค่าต่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย เป็นสิ่งที่ New mom ต้องเรียนรู้ไว้คะ ว่าการนอนหลับไม่ใช่แค่ร่างกายได้พักผ่อนเพียงเท่านั้น แต่ในช่วงระหว่างที่ลูกน้อยนอนหลับ สมองจะหลั่งสารที่มีชื่อว่า Growth Hormone ออกมา ซึ่งสารตัวนี้จะมีหน้าที่ช่วยในการเจริญเติบโต หากว่าลูกน้อยของคุณแม่นอนหลับผักผ่อนอย่างเต็มที่ เจ้าสารตัวนี้จะหลั่งออกมาในปริมาณปกติ ช่วยให้ลูกน้อยเติบโตแข็งแรงสมวัย ให้คุณแม่ลองสังเกตดูนะคะว่าวันไหนที่ลูกน้อยนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม จะตื่นมาด้วยอารมณ์ที่สดใส ร่าเริง ไม่งอแง จะต่างกับวันที่ลูกน้อยนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จะตื่นขึ้นมางอแง หงุดหงิด ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของร่างกาย มาดูกันคะว่าการนอนในแต่ละช่วงวัยของลูกน้อยเป็นอย่างไร
  • วัยแรกเกิด - 1 สัปดาห์ เจ้าตัวเล็กจะเอาแต่นอนและก็นอนคะจะนอนวันละประมาณ 16 ชั่วโมง แถมยังนอนไม่เป็นเวลา ตื่นบ่อย นอนไปซัก 2-3 ชั่วโมง จะตื่นอยู่ 1-2 ชั่วโมง แล้วก็หลับต่ออีก ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกน้อยปรับตัวให้รู้จักการนอนมากขึ้นเรื่อยๆ
  • 1-2 เดือน ลูกน้อยจะนอนหลับน้อยลงนิดหน่อย ประมาณ 15-16 ชั่วโมง มีตื่นมากลางดึกบ้าง แต่จะไม่บ่อยเหมือนแรกเกิด
  • 2-3 เดือน ลูกน้อยจะนอนประมาณ 15 ชั่วโมงครึ่ง เริ่มนอนเป็นเวลามากขึ้น แต่จะยังคงตื่นบ่อยอยู่บ้าง
  • 3-6 เดือน ลูกน้อยจะนอนประมาณ 15 ชั่วโมง กลางคืนนอนประมาณ 10 ชั่วโมง ตื่นมากินนมประมาณ 3-4 ชั่วโมง ลูกน้อยจะนอนเป็นเวลามากขึ้น
  • 6-9 เดือน ลูกน้อยจะนอนประมาณ 14 ชั่วโมง ลดลงโดยจะนอนกลางคืนนานขึ้น กลางวัน 2 ชั่วโมงครึ่ง-3 ชั่ืวโมง จะนอนแปปๆแต่บ่อย
  • 9 เดือน-1 ปี ลูกน้อยเริ่มรู้จักกลางวันกลางคืนแล้วคะ จากการนอนช่วงกลางคืนที่ยาวจนเช้า แถมยังตื่นเป็นเวลาอีกด้วย นอนกลางวันน้อยลง ประมาณวันละ 13 ชั่วโมง
น้องเอ่เอ้ช่วง 7 เดือน จะไม่นอนเปิดไฟ เพราะถ้าหากเปิดไว้จะทำให้เค้านอนไม่หลับ คลานไปเล่นโน้นนี่อยู่เรื่อย แต่พอปิดไฟ น้องเอ่เอ้จะนอนนิ่งๆแล้วก็หลับไป หรือไม่ก็นอนกินนมแม่ จนหลับ Ouy จะเปิดเพลงเบาๆกล่อมด้วย บางคืนก็ร้องกล่อมเอง และจะตื่นตอนเช้า 7 โมงครึ่ง พร้อมรอยยิ้มที่แก้มตุ้ยๆ เป็นประจำ คะ ^^

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

อาหารบำรุง กระดูก ช่วงตั้งครรภ์

ช่วงที่ตั้งครรภ์ เป็น ช่วงที่คุณแม่ต้องสูญเสียแคลเซียมไปให้ลูกน้อย การดูแลเรื่องอาหารการกิน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญคะ สำหรับ new mom และรวมไปถึงการออกกำลังกายเพื่อกระดูกที่แข็งแรง ในช่วงที่ตั้งครรภ์คุณแม่ทั้งหลายที่มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นตะคริว ผมร่วง ฟันผุ ควรที่จะต้องบำรุงด้วยแร่ธาตุชนิด แคลเซียมให้มากๆ ซึ่งจะพบได้ในอาหารเหล่านี้คะ
  • นมสดพาสเจอไรซ์ชนิดพร่องมันเนย เพราะว่ามีแคลเซียมสูง
  • ปลาเล็กปลาน้อย จำพวก ปลาซิว ปลาข้าวสาร ปลาไส้ตัน ปลาจิ้งจั้ง หรืออาจจะเป็นกุ้งฝอย กุ้งแห้ง แทนก็ได้ ล้วนแต่แคลเซียมสูงทั้งนั้นคะ
  • ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากนม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต
  • ไข่แดง ไข่ไก่ 1 ฟองให้แคลเซียมประมาณ 126 มก.
  • ผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี ผักโขม ใบโหระพา ยอดแค ยอดสะเดา ใบชะพลู ใบยอ ผักกระเฉด คะน้า ฯลฯ
  • เมล็ดพีช เช่น เมล็ดทานตะวัน
  • งาดำ ซึ่งถ้าเรากินงาดำคั่วได้ประมาณ 100 กรัม เราจะได้รับแคเซียมสูงถึง 1452 มก.
  • ถั่วเหลือง ถั่วเหลืองดิบๆปริมาณ 100 กรัม จะมัแคลเซียม 245 มก.
  • เผือก ในปริมาณ 100 กรัม จะมัแคลเซียมอยู่ 84 มก.
  • มันเทศสีเหลือง ปริมาณ 100 กรัม จะมีแคลเซียมอยู่ 98 มก.
ซึ่งคุณแม่สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียมคะ ปัญหาเกี่ยวกับกระดูก ฟันผุ ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นตะคริว ผมร่วง จะหายไปคะ ขอให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีสุขภาพที่แข็งแรง เตรียมพร้อมรอวันที่ได้เห็นหน้าลูกน้อยคะ ^^

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

วิธีการเลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูป

Ouy มีวิธีการเลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูป มาฝาก new mom กันคะ เพราะเดียวนี้มีผ้าอ้อมสำเร็จรูปผลิตออกมาหลายยี่ห้อมากมายเหลือเกิน สำหรับคุณแม่มือใหม่อย่างเราๆต้องให้ความสำคัญ Ouyจะให้น้องเอ่เอ้ใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเฉพาะตอนกลางคืน และตอนที่จะออกนอกบ้านกันเท่านั้น ช่วงที่อยู่ที่บ้านก็ใช้ผ้าอ้อมพับ กลัดเข็มกลัดเอา แต่ถึงจะใช่แต่ช่วงกลางคืน Ouy ก็จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยคะ มาดูวิธีการเลือกผ้าอ้อมของ Ouy กันคะ

  • ขนาดของผ้าอ้อมสำเร็จรูปตามวัยของลูกน้อยอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไปนะคะ เพราะว่าเด็กแต่ละคนอาจจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าหรือว่าเล็กกว่าวัยของลูกน้อยเองก็ได้ ไม่เท่ากัน เด็กบางคน 3 เดือน เท่ากับเด็ก 7 เดือน เด็ก 8 เดือน อาจจะเล็กกว่าเด็ก 5 เดือน ก็ได้ การเลือกก็คือ คุณแม่ จะต้องดูที่น้ำหนักของลูกน้อย ที่ระบุไว้บนห่อของฉลากสินค้านั้นๆ สำหรับเด็กแรกเกิดที่สายสะดือยังไม่หลุด ก็ให้เลือกผ้าอ้อม new born ให้สายสะดือหลุดก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไซต์ S คะ
  • การระบายอากาศของผ้าอ้อมสำเร็จรูป จะมีส่วนช่วยไม่ทำให้ผิวลูกน้อยเกิดอาการแพ้ มาจากการที่ผิวอับชื้น เพราะการที่ลูกน้อยใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนานๆ จะทำให้ผิวไม่โดนอากาศ ทำให้อับชื้น บริเวณขาหนีบ ร่องก้น การเลือกผ้าอ้อมที่ระบายอากาศได้ดีจะช่วยให้ผิวลูกน้อยสดชื่น ไม่อับชื้นคะ
  • ความนุ่มผ้าอ้อมสำเร็จรูป จะช่วยลดอาการระคายเคืองของผิวลูกน้อย และยังช่วยลดอาการแพ้ของผิวเด็ก ทำให้ลูกน้อยสบายตัวมากขึ้น หลับสบายทั้งคืน
  • ช่องดูดซับอุจจาระ ให้คุณแม่เลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีช่องดูดซับอุจจาระ เพราะว่าเด็กแรกเกิดจะถ่ายบ่อยและไม่เป็นเวลา การเลือกที่มีช่องดูดซับอุจจาระจึงมีความสำคัญมากค่ะ ขาดไม่ได้ ไม่งั้นผิวลูกน้อยจะไม่สบายตัว เกิดอาการแพ้ หรือเป็นผื่นขึ้นมาได้คะที่ก้นลูกน้อย ให้เลือกชนิดที่ไม่ไหลย้อนกลับ
  • การออกแบบที่รองรับกับรูปร่างของลูกน้อย ให้คุณแม่เลือกให้เหมาะสมกับลูกน้อย อย่างเด็กแรกเกิดก็ต้องใช้ new born ขอบของผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะทำให้เสียดสีกับสายสะดือของลูกน้อย ทำให้สายสะดือลูกน้อยอักเสบ ไม่สบายตัว การเลือกให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญคะ
  • ราคา การเลือกผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ก็จะทำให้คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมลูกน้อยได้บ่อยขึ้น ลูกน้อยก็จะได้สบายก้นไม่ต้องนอนแช่อุจจาระ ประหยัดทั้งคุณแม่และลูกน้อยก็สบายก้นด้วยคะ
  • ความบาง หนา ของผ้าอ้อมสำเร็จรูป บางยี่ห้อ หนามากๆคะไม่เหมาะที่จะให้ลูกน้อยใส่ เพราะจะทำให้ลูกน้อยเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก และยังทำให้ขาลูกน้อยโก่งอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

new mom กับการฝึกลูกน้อยแปรงฟัน


การปลูกฝังนิสัยการแปรงฟันของลูกน้อย เป็นสิ่งที่สำคัญมากคะ ยิ่งเป็นคุณแม่มือใหม่ new mom ด้วยแล้ว ยิ่งต้องหาข้อมูลมาฝึกลูกน้อยของเราคะ ในช่วงแรก คือช่วงที่ให้เด็กได้เรียนรู้ และเคยชินกับแปรงสีฟัน คุณพ่อคุณแม่อาจจะนำแปรงสีฟันอันเล็ก ๆ สำหรับเด็ก ให้ลูกน้อยถือเล่น กัดเล่น แล้วค่อย ๆ อธิบายว่าคืออะไร ใช้อย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ สอนให้เด็กถูไปมาที่ฟันในแต่ละด้าน และทุกครั้งที่คุณพ่อคุณแม่แปรงฟัน อาจจะสอนให้ลูกทำตามไปด้วย ให้ลูกน้อยดูเป็นตัวอย่าง ลูกน้อย เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่แปรงฟันก็จะทำตาม ประมาณว่าอยากทำด้วย อยากเลียนแบบ โดยยังไม่ต้องใช้ยาสีฟัน (หากลูกยังเล็กมาก) แต่สำหรับลูกน้อยที่ฟันเริ่มขึ้นมาซี่แรก ให้คุณแม่ใช้ ผ้าก๊อต สะอาดๆ พันที่นิ้วคุณแม่ ชุบน้ำอุ่นๆแล้วถูไปที่ฟัน เหงือก และลิ้นของลูกน้อย หรือว่าจะเป็นยางที่คล้ายๆแปรง แต่เป็นของสำหรับเด็กอ่อนโดนเฉพาะ
ทำช่วงที่อาบน้ำ ลูกน้อยจะได้รู้ว่าช่วงนี้ต้องทำอะไร เป็นการสอนเค้าไปในตัวคะนอกจากนี้ อาจจะให้เด็กเล่นแปรงสีฟันไป พร้อมกับการอาบน้ำ เด็กจะรู้สึกและเพลิดเพลิน ทำให้เด็กเคยชินง่ายขึ้น คุณพ่อคุณแม่ช่วยกันสร้างบรรยากาศ ให้ลูกน้อยรู้สึกสนุกกับการแปรงฟัน อาจจะร้องเพลง เกี่ยวกับการแปรงฟัน เช่น แปรงฟัน แปรงฟัน แปรงฟัน เด็กน้อยจะต้องแปรงฟัน ไม่อยากฟันหลอ ก็ต้องแปรงฟัน ควรขยันหมั่นแปรงเอย ร้องเป็นทำนองที่สนุกๆจะทำให้เด็กไม่เบื่อ ก่อนนอนก็อาจจะหานิทานที่เกี่ยวกับการแปรงฟันมาเล่าให้ลูกน้อยฟัง อธิบายให้ลูกฟังถึงผลเสียของการไม่แปรงฟัน ในกรณีที่ลูกโตสักหน่อยนะคะนะ
การหาแปรงสีฟันไฟฟ้าให้เด็กใช้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งคะ ที่จะช่วยให้เด็กจะรู้สึกสนุกและแปลก เมื่อแปรงสามารถสั่นได้เหมือนเป็นของเล่นชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะทำให้เด็กรู้สึกอยากจะแปรงฟันมากขึ้น และหลังจากแปรงฟันทุกครั้ง คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมชมลูกน้อยด้วยนะคะ เช่น ว้าว ฟันลูกน้อยของแม่ สะอาดจัง,ฟันขาวจังเลย อะไรประมาณเนี้ยคะ เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกน้อยขยันแปรงฟันทุกวันไงละคะ ^^

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

เมนูสุขภาพ สำหรับ คุณแม่ตั้งครรภ์ new mom

คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นห่วงเรื่องอาหารการกิน ว่า จะกินอะไรเพื่อบำรุงลูกน้อยในครรภ์ เพื่อตัวเองด้วย สำหรับ new mom อย่างเราๆต้องเรียนรู้ไว้คะ เพราะใช่ว่าจะกินเพื่อตัวเราเองอย่างเดียว ยังมีลูกตัวน้อยๆในครรภ์อีกคนที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
สารอาหารที่บำรุงสมองลูก
กรดโฟลิกจำเป็นในการสร้างสมองและระบบประสาทส่วนกลางของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงก่อนตั้งครรภ์ถึงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก อาหารที่อุดมไปด้วย กรดโฟลิกก็มีผักใบเขียวเข้ม ควรกินสดๆ หรือนึ่ง หากใช้วิธีอื่นๆ ในการประกอบอาหาร กรดโฟลิกจะถูกทำลาย กล้วย ส้ม ธัญพืชต่างๆ ขนมปังโฮลวีต นม และโปรตีนจากเนื้อสัตว์ นอกจากนี้ปลาทะเลยังมีกรดไขมันที่สำคัญต่อการเสริมสร้างเซลล์ประสาท อีกด้วย มาดูกันคะว่ามีเมนูเด็ดๆอะไรกันบ้าง
เมนูสำหรับเสริมสมองลูก
  • น้ำพริกปลาทู มีเครื่องเคียงเป็นชะอมชุบไข่ทอด และผักใบเขียวต่างๆเมนูนี้ได้คุณค่าจากปลาทะเลและผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างเซลล์สมองของลูกคะ
  • ผัดผักบร็อกโคลียอดคะน้าหมูสับ จะใส่หน่อไม้ฝรั่งไปด้วยก็อร่อยคะ บร็อกโคลี คะน้า และหน่อไม้ฝรั่ง เป็นผักที่อุดมไปด้วยกรดโฟลิก
  • แซนด์วิชขนมปังโฮลวีตทูน่า

สารอาหารที่ช่วยให้ลูกน้อยในครรภ์สมบูรณ์แข็งแรง
โปรตีนสำคัญยิ่งต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก เม็ดเลือดแดง และอวัยวะภายในต่างๆโปรตีนมีมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ โดยเฉพาะปลาที่มีโปรตีนคุณภาพสูง นอกจากโปรตีนแล้ว แคลเซียมยังมีความสำคัญต่อการสร้างกระดูกและฟันของลูก มีมากในนม ไข่ ปลาไส้ตัน กุ้งฝอย ชะพลู คะน้า เห็ดหูหนู สายบัว ใบตำลึง ผักกระเฉด
เมนู ลูกแข็งแรง

  • ยำสามสหาย ซึ่งมีกุ้ง ผักกระเฉด แล้วมีเนื้อปลาอีกด้วยคะ
  • ยอดฟักทองผัดไข่ หรือผัดสายบัวหมูสับ
  • แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ใส่ผักต่างๆ ใบตำลึง ผักกาดขาว ยอดฟักทอง
  • เส้นหมีราดหน้า เติมไก่ คะน้า เห็ดหูหนู ข้าวโพดอ่อน

สารอาหารที่บำรุงเลือด
ยิ่งลูกน้อยในครรภ์เติบโตขึ้นเท่าไหร่ ลูกก็ยิ่งต้องการเลือดเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่ายกายมากขึ้น คุณแม่จึงต้องการธาตุเหล็ก เพื่อไปสร้างเม็ดเลือดแดงให้กับร่างกาย แถมยังต้องเตรียมเลือดไว้ตอนที่คลอดลูกน้อยอีกด้วย ซึ่งถ้าหากคุณแม่ขาดธาตุเหล็กจะรู้สึกอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด นั้นเพราะว่ามีเม็ดเลือดแดงที่นำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกายน้อย ธาตุเหล็กจะมีมากในเนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ตับ ไข่แดง ใบกระเพรา หัวปลี ถั่วฝักยาว การได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ จะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น แต่ธาตุเหล็กจะทำให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีได้น้อยลง ดังนั้น คุณแม่ควรจะกินอาหารที่มีสังกะสีเพิ่ม เช่น เนื้อปลา ปลาหมึก หอยนางรมและอาหารทะเลอื่นๆด้วยคะ
เมนูบำรุงเลือด

  • ไข่เจียวใบกระเพรา อร่อย มากมายคะ
  • ผัดกระเพราใส่ตับ อุดมไปด้วยธาตุเหล็กคะ
  • แกงเลียงหัวปลี ใส่ปลาหมึก หรืออาหารทะเลอื่นๆก็ได้คะ
  • ยำหัวปลี หรือจะกินหัวปลีกับผัดไทยก็อร่อยเช่นกันจ้า

เมนูแก้อาการแพ้ท้องคะ ก็คือ ข้ามต้มข้าวซ้อมมือใส่หมูสับ ตับ และเนื้อปลา ช่วยได้ค่ะ
เมนูแก้ตะคริว ถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ ลูกในท้องจะดึงแคลเซียมจากร่างกายคุณแม่ไปใช้สร้างกระดูกและฟันในปริมาณมาก จึงทำให้คุณแม่เป็นตะคริวได้คะ เมนูแก้ตะคริวคะ คือ เปาะเปรี๊ยกล้วยหอม ข้าวผัดกุ้งแห้ง ยำตำลึงกุ้งฝอย แค่นี้คุณแม่ก็จะหายจากการเป็นตะคริวแล้วละคะ Ouy ขอให้คุณแม่สนุกกับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ และที่สำคัญคือ เพื่อลูกน้อยของเราคะ ^^

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

โคลิค (colic)

โคลิค คือ อาการร้องแบบว่าไม่มีต้นสายปลายเหตุ จะเป็นในเด็กแรกเกิดจะเริ่มร้องโคลิกเมื่ออายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ และรุนแรงขึ้นในช่วงอายุ 7-8 สัปดาห์ แล้วร้องต่อไปเรื่อยๆ จนหายไปเองเมื่อลูกน้อยอายุประมาณ 3 เดือน น้องเอ่เอ้ก็ร้องโคลิคเหมือนกันค่ะ พอถึงเวลาเย็นๆเมื่อไหร่ อาการก็แสดงให้เห็นทันที เหมือนกับว่านัดยังไงยังงั้นเลยคะ เป็นการร้องไห้อย่างดุเดือนเลือดพล่าน แผดเสียง แขนขาเกร็ง และงอขาขึ้นมาที่ท้อง ปลอบอย่างไรก็ยังร้องอยู่ดี แต่พอผ่านไป 3 ชั่วโมงก็หยุดร้องเอาเสียดื้อๆ แรกๆ Ouy ก็พาไปหาคุณหมอเหมือนกันคะว่าลูกมีอาการอย่างนี้ คุณหมอก็บอกว่าการร้องไห้แบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือลูกไม่สบายแต่อย่างใด แต่เป็นการร้อง โคลิค คุณหมอก็บอกวิธีรับมือกับลูกน้อยเมื่อถึงเวลา คือ
  1. พยายามเบียงเบียนความสนใจของลูกน้อยไปที่สิ่งของอื่นๆ เช่น หาของอะไรให้ลูกเล่นที่มีเสียง ทำเสียงให้ลูกน้อยสนใจ เปิดเพลง สบายๆ ให้ลูกน้อยฟัง หรือจะร้องให้ลูกน้อยฟังเองก็ดีคะ
  2. พาลูกน้อยนั่งรถเล่น อาจจะช่วยได้
  3. อุ้มลูกน้อยพาดบ่า ลูบหลัง เป็นการปลอบโยน พาเดินไปเดินมา
  4. ควรจัดห้องที่เงียบๆ อากาศปลอดโปร่ง เพื่อเป็นการช่วยได้อีกทางคะ
  5. ให้ลูกน้อยนอนคว่ำบนขาคุณแม่เองหรือว่าจะเป็นกระเป๋าน้ำร้อนก็ได้คะ เป็นการทำให้ลูกน้อยรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย
  6. การนวดให้ลูกก็เป็นการช่วยได้ดีอีกวิธีหนึ่งคะ คือท่า I Love You โดยคุณแม่จะจับลูกน้อยนอนหงาย เอามือวางไว้ที่บริเวณชายโครงขวาของลูกนะคะ แล้วลูบไล้ลงมาข้างล่างตรงๆ เหมือนตัว I ต่อจากนั้นป้ายมือมาทางขวาของลำตัวลูกเพื่อทำเป็นตัว L ถัดไปลากมือขึ้นมาทางหน้าท้องโดยโค้งให้เหมือนตัว U

กว่าจะผ่านช่วง 3 เดือนแรกมาได้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีความอดทนเป็นหลักเลยคะ อย่าแสดงอารมณ์เสียเพราะถึงคุณพ่อคุณแม่จะอารมณ์เสียไป ก็ช่วยอะไรลูกน้อยไม่ได้ ใจเย็นๆ เตรียมพร้อมรับมือ เพราะแต่ละวิธีอาจจะใช้ได้กะเด็กบางคน สำหรับบางคน อาจจะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆดูว่าวิธีไหนเหมาะสำหรับลูกน้อยของเรา สู้..สู้ คะ


วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

เพิ่มพลัง สมาธิ ให้ลูกสมาธิสั้น

ก่อนอื่นต้องมาดูอาการของเด็กสมาธิสั้นกันก่อนคะ ว่ามีอาการอย่างไร เด็กที่มีสมาธิสั้น ก็คือ เด็กที่มีสมาธิไม่ดี (Inattention) คือเด็กไม่สามารถควบคุมสมาธิได้นานพอ ไม่สามารถตั้งสมาธิ จะไม่สนใจในสิ่งเร้าที่สำคัญ แต่จะสนใจในสิ่งเร้าที่ไม่สำคัญ เช่น ไม่สนใจฟังคุณครูสอนอยู่ตรงหน้า แต่จะนั่งฟังเสียงรถที่แล่นผ่านที่หน้าโรงเรียนแทน จะมีความพกพร่องของพฤติกรรม ซึ่งเด็กสมาธิสั้นจะซนอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity) มีพลังมาก เดินๆวิ่งๆ เคลื่อนไหวตลอดเวลา มีความบกพร่องในความคิดและการวางแผน ขาดความยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักวางแผนว่าจะทำอะไร หากอยากจะทำอะไรก็ทำก็จะทำโดยทันที ไม่มีความอดทน ขีี้้้โมโห อารมณ์เสียง่าย ก้าวร้าว จะใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาต่างๆ เอาแต่ใจตัวเอง อารมณ์ร้อนและเปลี่ยนแปลงง่าย
วิธีรับมือกับลูกสมาธิสั้น มีหลักสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ
  1. ลดสิ่งเร้าให้น้อยลง ให้ลูกอยู่ในบรรยากาศที่มีสิ่งกระตุ้นน้อยที่สุด หาของให้เด็กนั่งเล่นในสถานที่เงียบๆ ไม่ควรพาลูกไปเที่ยวในสถานที่คนพลุกพล่าน จะเป็นการกระตุ้นให้เด็กซน อยู่ไม่นิ่ง ไม่ฟัง ควบคุมได้ยาก ลดการดูโทรทัศน์ เพราะการดูโทรทัศน์มากเกินไปและนาน จะทำให้เด็กขาดสมาธิ
  2. สร้างสมาธิเพิ่มขึ้น โดยการฝึกให้ลูกนั่งสมาธิ วันละ 30 นาที นั่งสมาธิตามลมหายใจ หายใจเข้า - พุท หายใจออก - โท การนั่งสมาธิจะทำให้เด็กมีควาสงบ ควรจะทำเป็นกิจวัตรประจำวัน
  3. การใช้คำสั่งกับเด็กสมาธิสั้น ควรจะใช้คำสั่งที่ง่ายๆและสั้น สั่งเพียง 2 ครั้ง คำสั่งต้องชัดเจน ควรจะออกคำสั่งช่วงที่เด็กมีสมาธิและควรออกคำสั่งในทางบวก เช่น ถ้าลูกตะโกน แทนที่จะดุลูกว่า หยุด ตะโกนได้มั้ย ก็เปลี่ยนเป็น แม่อยากให้หนูพูดเบาๆ
มีบทสมาธิสำหรับเด็กแบบง่ายๆให้บุตรหลานของท่านได้สมาธิกันคะ
บทพูดนำการทำสมาธิลมหายใจ (12 นาที)
จากนี้ไปจะเป็นการทำสมาธิลมหายใจ...
ขอให้เด็กๆหลับตา...ปล่อยวางเรื่องต่างๆลงชั่วคราว
ขณะนี้ขอให้มีความรู้ตัว คือรู้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก
ลมหายใจเข้า ให้นึกในใจว่า พุธ
ลมหายใจออก ให้นึกในใจว่า โธ
ค่อยๆประคองให้จิตใจอยู่กับลมหายใจเข้าและออกอย่างต่อเนื่อง
หากมีความคิดเรื่องอื่นแทรกเข้ามา เด็กๆไม่ต้องสนใจ ต่อความคิดเหล่านั้น ขอให้ใส่ใจที่ลมหายใจเข้าและออกเพียงอย่างเดียว...(เว้นช่วงเวลาให้นิ่งสงบนาน 12 นาที)
ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก...ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก...ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก...
(เมื่อครบ 12 นาที) ขอให้ค่อยๆดึงความรู้สึกตัวกลับมาเป็นปกติ แล้วลืมตาขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับจิตใจที่แจ่มใส สงบสุข มีพลังสมาธิ สติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ

วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

การออกกำลังกาย สำหรับคุณแม่ท้อง (exercise for pregnant mothers)

การดูแลตัวเองให้สดใส กระฉับกระเฉง นั้น สำคัญมากนะคะ สำหรับคุณแม่ท้องมือใหม่อย่างเราๆ จะให้ใครมาว่าไม่ได้เลย ว่าช่วงท้องเป็นช่วงที่ดูหน้าตาไม่ได้เอาเสียเลย กระจกไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ๆ ลองมาเปลี่ยนตัวเอง เป็นคุณแม่ท้องที่สดใส ร่าเริง เบิกบานใจ กับการออกกำลังกายในแต่ละช่วงของการตั้งครรภ์
ช่วงตั้งครรภ์ 0-3 เดือน
บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง >> เพื่อกระชับหน้าท้อง
  1. นอนหงาย ตั้งเข่า เท้าวางราบกับพื้น แยกขาและเข่าออกเล็กน้อย
  2. ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองที่หลังหูและท้ายทอย
  3. หายใจออก และค่อยๆยกศีรษะ ไหล่และอกขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องพยายามอย่ายกแต่ศีรษะ
  4. อยู่ในท่านี้ค้างไว้สัก 2-3 นาที แล้วค่อยนอนราบตามเดิม
  5. ทำท่านี้หลายๆครั้ง
บริหารหลังและไหล่ >> เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลังและไหล่
  1. คุกเข่า แล้วค่อยๆ โน้มตัวลงไปกับพื้น พร้อมกับแขนทั้งสองข้างวางราบกับพื้อน
  2. ไม่ต้องเกร็งหลัง พยายามผ่อนคลายไหล่ หลัง และกระดูกสันหลังให้มากที่สุด อยู่ในท่านี้ 10 นาที
  3. ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
ช่วงที่ตั้งครรภ์ 4-6 เดือน
บริหารกล้ามเนื้อต้นขา >> เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้นขา เพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อเชิงกรานและสะโพก
  1. นั่งราบกับพื้น แล้วค่อยๆจับขาทั้งสองข้างให้ส้นเท้าชนกัน
  2. โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย โดยไม่ยกสะโพกขึ้นจากพื้น
  3. อยู่ในท่านี้ 10 วินาที แล้วพัก
  4. ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
บริหารกล้ามเนื้อลำตัวและหลัง >> เื่พื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อลำตัว หลัง และบั้นเอว แก้อาการปวดหลัง

  1. อยู่ในท่าคุกเข่าคลาน ขาและแขนตั้งฉาก พยายามเกร็งหลังตรง อย่าให้แอ่นลงตามน้ำหนักท้อง
  2. ค่อยๆดึงหลังโก่งขึ้น โดยก้มศีรษะลง
  3. อยู่ในท่านี้สัก 2-3 นาที แล้วกลับมาอยู่ในท่าเริ่มต้น
  4. ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง
ช่วงตั้งครรภ์ 7-9 เดือน
บริหารกล้ามเนื้อหลังด้านล่าง >> เพื่อคลายอาหารปวดหลัง บริเวณชายกระเบนเหน็บ
  1. นอนหงาย ใช้มือทั้งสองข้างจับใต้เข่า ยกเข่าขึ้นมา
  2. คุณแม่จะรู้สึกผ่อนคลายช่วงเอวและชายกระเบนเหน็บอยู่ในท่านี้สัก 10 วินาที
  3. ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง
***ในช่วงท้ายๆของการตั้งครรภ์ พยายามอย่านอนหงายราบกับพื้น เพราะมดลูกจะถูกกดทับ

บริหารกล้ามเนื้อเชิงกราน >> เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลำตัว เพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อสะโพก ป้องกันและแก้อาการปวดชายกระเบนเหน็บ
  1. อยู่ในท่าคุกเข่าคลาน แขนและขาตั้งฉาก เกณ้งหลังตรง
  2. ค่อยๆยกสะโพกขึ้นเป็นวงกลม 4-5 ครั้ง
  3. สลับมาโยกอีกทางหนึ่ง 4-5 ครั้งเช่นกัน
ท่าพัก
  • เมื่อบริหารเสร็จแต่ละครั้ง ให้นอนตะแคงนิ่งๆสัก 2-3 นาที
  • ดึงเข่าข้างที่อยู่ด้านบนขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้ผ่อนคลายที่สุด
  • เตรียมหมอนใบเล็กๆ สักใบไว้รองใต้เข่าที่ยกขึ้นมาด้วย ก็จะสบายขึ้นอีกนะคะ
การออกกำลังกายใต้น้ำ จะช่วยให้คุณแม่ท้องออกกำลังกายอย่างเบาสบายคะ เพราะน้ำช่วยพยุงร่างกายทุกส่วน ทำให้คุณแม่ท้องไม่ต้องออกแรงมาก ตัวเบา ยกแข้งขา ได้ตามสบายเลย แต่ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ไว้ก่อนนะคะ เพื่อความปลอดภัย ระดับน้ำควรจะสูงแค่อกและควรวอร์มร่างกายก่อนลงน้ำด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่ เหมาะสำหรับคุณแม่มือใหม่เปิดให้ลูกน้อยฟังคะ ^^

เดียวนี้มี เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่ ให้ได้ดูและฟังกัน ต่างจากเมื่อก่อน ที่ต้องอ่านในหนังสือเอาเอง อุ้ยว่าเหมาะมากเลยคะที่จะเอามาเปิดให้ลูกน้อยฟัง เหมือนน้องเอ่เอ้ จะชอบฟังมากเลย ได้ยินเสียง ก็หันหน้ามาดูแล้ว แต่อุ้ยไม่ให้น้องเอ่เอ้ดูวิดีโอก่อน เพราะกลัวว่าเค้าจะความจำสั้น ต้องรอให้น้องเอ่เอ้ โตกว่านี้ก่อน ช่วงนี้ฟังแต่เสียงเพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่ ไปพลางๆ ซึ่งสามารถที่จะเปิดให้ฟังได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง ลูกน้อยเกิดมาก็จะจำเพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่ ได้ เหมาะสำหรับคุณแม่มือใหม่คะ

เพลง A B C สำหรับลูกน้อยคะ ^^

เพลง A B C ให้ตัวน้อยฟัง คุณแม่ทำมือหรือโยกตัวไปมาประกอบท่าทาง สนุกสนาน สำหรับคุณแม่มือใหม่ เพื่อให้ลูกน้อยจะได้ผ่อนคลาย แถมเป็นการเสริมความรู้ให้ลูกน้อยไปในตัวด้วยคะ

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 วิธี พิชิตเส้นเลือดขอดและบวม

วันนี้ Ouy มีเรื่องที่น่าสนใจมาฝาก คุณแม่มือใหม่ กับการดูแลเรียวขาให้ห่างจากเส้นเลืดขอด ซึ่งต้องมีการดูแลเป็นพิเศษหน่อยคะ เพราะเป็นส่วนที่ต้องรับบทหนักมากที่สุด สำหรับตัวอุ้ยเอง ก่อนตั้งครรภ์ น้ำหนัก 44 ก.ก 40 สัปดาห์ก่อนคลอด น้ำหนัก 59 ก.ก ตอนนี้เหลือแค่ 45 ก.ก แค่เลี้ยงลูกสาว กับงานบ้าน ก็หมดเวลาทำอย่างอื่นแล้ว
  1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ช่วงขาแข็งแรง กล้ามเนื้อกล้ามเนื้อจะได้มีแรงบีบส่งแรงดันเลือดดำ กลับไปฟอกที่ร่างกายส่วนบนได้ตามปกติ ช่วงที่อายุครรภ์มากขึ้น ออกกำลังกายไม่ค่อยสะดวก ขอแนะนำให้ใช้วิธีการเดินในน้ำ แรงต้านของน้ำจะทำให้ออกแรงมากขึ้น แต่ร่างกายไม่หักโหมมากจนเกินไป
  2. ไม่ควรยืนทำงานอยู่กับที่ นิ่งๆ นานๆ เช่น รีดผ้า ทำกับข้าว ฯลฯ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เดินไปเดินมา บ้าง นั่งบ้าง ยืนบ้าง ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อน่องอยู่ตลอด
  3. คุณแม่ท้องไม่ควรนั่งไขว้ห้างเป็นอันขาด นั่งนานๆ ก็ควรลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทางบ้าง
  4. ยกขาขึ้นสูงในระดับเสมอกับลำตัวขณะพักผ่อนในท่าสบายๆ และจะดีมากถ้าสามารถยกขาให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจได้
  5. รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้ขึ้นมากเกินไป ไม่ควรตามใจปาก ให้เน้นพวก ผักและผลไม้ เป็นหลักคะ (ดีสำหรับลูกน้อยมากๆ)
  6. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ ป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งในช่วงนี้อาจทำให้คุณแม่ท้องเป็นริดสีดวงทวารได้ง่าย (ประสบการณ์เป็นแล้ว ทรมานมากๆเลยคะ)
  7. นอนตะแคงซ้าย หรือ ตะแคงขวา ก็ได้สลับกันไป น้ำหนักจะได้ไม่กดทับเส้นเลือด
  8. สวมผ้ายืดพยุงกล้ามเนื้อที่ขา
  9. อย่ารับประทานอาหารที่เค็มจัด ให้อยู่ในรสชาตกลางๆ เป็นการดีสำหรับคุณแม่ท้องคะ
  10. ให้ใส่รองเท้าที่โปร่งสบาย จะได้ไม่คับแน่นในช่วงเย็น หรือ ช่วงที่ต้อง ยืน เดิน มาตลอดทั้งวัน
ครบ 10 วิธี คุณแม่ท้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้คะ เส้นเลือดขอดจะได้ไม่ถามหา เรียวขาคุณแม่จะยังสวย ใส ปิ๊ง จร้า...ูู^^

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

สารพัด'ปวด'คุณแม่ท้อง

อาการ ปวด สามารถเกิดขึ้นได้สำหรับหญิงตั้งครรภ์ทุกคนนะคะ จะมีแค่ว่า แม่ท้องคนไหนปวดน้อย หรือปวดมากนั้นเอง ซึ่งอาการปวดก็จะมีแบบที่ไม่เป็นอันตรายกับแบบที่เป็นอันตราย แล้วแต่สรีระและฮอร์โมนในร่ายกายของแต่ละคน ช่วงอายุของการตั้งครรภ์ก็มีผล สำหรับอาการ ปวด นี่เหมือนกัน มาดูกันคะ ว่าแม่ท้องเนี้ย ปวด อะไรบ้าง
1. ปวด ศีรษะ เป็นการปวดที่แม่ท้องหลายคนปวดกัน จะมีอาการปวดเกร็ง ปวดดื้อๆ หรืออาจจะปวดร้าวมาที่ต้นคอ สำหรับแม่ท้องที่เป็นไมเกรนอยู่ก่อนแล้ว อาจจะมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายสำหรับแม่ท้องเลยละคะ
  • สาเหตุ ก็เกิดจากปริมาณเลือดในร่างกายที่เพิ่มขึ้นเยอะ เลือดส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปเลี้ยงลูกน้อย เส้นเลือดที่เป็นท่อจะมีน้ำไหลผ่านเยอะๆ เส้นเลือดก็จะมีการตึงตัว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะนั้นเอง นอกจากนี้ก็อาจจะเกิดจากการที่แม่ม้องพักผ่อนไม่เพียงพอ ยิ่งอายุครรภ์มากๆ อาการนอนไม่หลับจะเป็นบ่อยมาก พลิกซ้ายพลิกขวาก็ไม่หลับสักที ท้องยิ่งโตจะยิ่งอึดอัด หายใจไม่ค่อยสะดวก เมื่อนอนพักไม่เพียงพอ อาการปวดศีรษะก็ถามหา เหมือนกันคะ
  • วิธีแก้ปวด เมื่อกลางคืนทำให้เรานอนไม่หลับ ก็ควรหาเวลาว่างช่วงกลางวันพักผ่อนด้วย อายุครรภ์มากขึ้น ให้ใช้หมอนรองที่ท้อง ควรนอนตะแคงซ้ายหรือตะแคงขวาสลับกัน อาจจะใช้หมอนหนุนหัวให้สูงๆด้วยก็ได้
2. ปวดหน้าอก ก็คือปวดเต้านม โดยจะมีออาการคัดตึง หรือว่าเจ็บๆ บริเวณเต้านม คล้ายกับช่วงที่มีประจำเดือน
  • สาเหตุ เพราะในการตั้งครรภ์ ร่างกายคุณแม่จะมีการสะสมและสร้างต่อมน้ำนม เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับลูกน้อยที่จะเกิดมา จึงทำให้เกิดการคัดตึงอย่างรวดเร็ว
  • วิธีแก้ปวด ก็คือการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นๆประคบไว้ที่เต้านม จะช่วยลดอาการปวดได้คะ
3. ปวดท้องน้อย เป็นการปวดแบบหน่วงๆ คุณแม่บางคนอาจจะปวดถึงอวัยวะเพศได้ จะปวดเหมือนกับช่วงที่ปวดประจำเดือน
  • สาเหตุ เกิดจากการที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีเลือดมาเลี้ยงบริเวณนั้นมาก ทำให้มดลูกบวม จนเกิดอาการปวดหน่วงๆขึ้นมา จะเกิดในช่วงไตรมาสหลังๆของการตั้งครรภ์ เพราะมดลูกเคลื่อนที่ต่ำลงมา
  • วิธีแก้ปวด หากเกิดอาการปวดท้องน้อยขึ้นมา ก็ให้คุณแม่นั่งพัก หรือว่านอนพัก สังเกตุดูอาการถ้าหากว่าเบาลงก็แปลว่าไม่เป็นอันตรายคะ
4. ปวดขา เป็นการปวดที่เกิดได้สำหรับคุณแม่ท้องทุกคนเลย ยิ่งท้องโตด้วย ยิ่งปวดง่ายมาก เดินนิดเดียวก็ปวดแล้ว เพราะว่าขาต้องรับน้ำหนักตัวคุณแม่ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากการที่ปวดตามกล้ามเนื้อและเส้นเลือด
  • สาเหตุ เกิดจากขาของคุณแม่ที่ต้องรับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมาก มดลูกที่ใหญ่ขึ้นจะไปขวางทางเดินของเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลไม่สะดวก ดำโป่งพองขึ้น
  • วิธีแก้ปวด ให้คุณแม่นั่งหรือว่านอนแล้วยกขาสูงกว่าหัวใจ เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด
5. ปวดริดสีดวง คุณแม่ท้องเกือบจะทุกคนจะมีอาการท้องผูก ถ่ายไม่ค่อยออก เวลาถ่ายก็จะออกแรงเบ่งมากๆ ทำให้เกิดอาการเจ็บๆ ปวดๆ บริเวณทวารหนัก ซึ่งคุณแม่ท้องจะเป็นริดสีดวงได้ง่ายกว่าปกติ
  • สาเหตุ เกิดจากการที่คุณแม่ท้องผูก แล้วเวลาที่เบ่งนั้นเส้นเลือดดำ บริเวณริดสีดวงจะไหลเวียนเลืิอดย้อนกลับ แต่เจอมดลูกขวางไว้ ทำให้เลือดไหลไม่สะดวก เกิดการโป่งพองขึ้นมา และเวลาที่ท้องผูก แรงดันบริเวณทวารหนักจะมากขึ้น เส้นเลือดโป่งพองมากขึ้น ถ้าเส้นริดสีดวงแตก เลือดไหล อาจจะเกิดการตกเลือดได้คะ
  • วิธีแก้ปวด ดูแลตัวเอง เรื่องอาหารการกิน ให้กินจำพวกผลไม้ให้เยอะๆ ในช่วงมื้อเย็นๆ พร้อมกับการดื่มน้ำเยอะๆและทุกๆเช้าหมั่นเข้าห้องน้ำเป็นประจำ เป็นการฝึกให้กล้ามเนื้อหูรูดทำงานทุกวันคะ
6. ปวดที่หน้าอกหรอที่ลิ้นปี่ จะมีอาการปวดแบบว่า แน่นๆ จุกเสียด เกิดจากหลังที่กินอาหารอิ่มใหม่ๆ
  • สาเหตุ เกิดจากการที่ร่างกายคุณแม่ย่อยอาหารไม่ทัน ฮอร์โมนจากการที่ตั้งครรภ์นี้ ทำให้เกิดการบีบตัวของทางเดินอาหารช้าลงกว่าคนปกติ จึงเกิดอาการเหมือนจุกแน่นขึ้นมา
  • วิธีแก้ปวด เวลาที่คุณแม่กินอาหารแต่ละครั้ง ให้กินอาหารที่ย่อยง่ายๆและกินครั้งละน้อยๆแต่ให้กินบ่อยๆ เพื่อช่วยกระเพาะอาหารย่อยได้เร็วขึ้น
7. ปวดเมื่อยตัวช่วงใกล้คลอด
  • สาเหตุ เกิดจากการบวมน้ำ เพราะธรรมชาติมีการเอาน้ำมาสะสมไว้ในเซลล์ต่างๆช่วงใกล้คลอด เพราะคุณแม่จะเสียเลือดเยอะมาก ปริมาณน้ำเลือดจะลดลง ความดันโลหิดจะตก จะเกิดอันตรายได้ ธรรมชาติจึงเอาน้ำไปซ่อนไว้ในเซลล์ที่อยู่รอบๆเส้นเลือด คุณแม่ไม่ต้องตกใจว่าทำไมถึงบวมขึ้น หลังคลอดแล้วร่างกายจะขับออกไปค่ะ
  • วิธีแก้ปวด เอามือจุ่มน้ำอุ่นๆ 5- 10 นาที หรือว่ายกเท้าให้สูงๆจะลดอาการบวมลงได้
8. การปวดที่ไม่มีสาเหตุ อาจจะเกิดจากการนอน การเดิน การยืน ที่ผิดท่า ให้คุณแม่พักผ่อนให้เยอะๆ ทำจิตใจให้สบาย อาการเหล่านี้จะหายไปเองคะ

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

เมื่อ...น้องเอ่เอ้...ฟันขึ้น

ตอนนี้น้องเอ่เอ้อายุ 6 เดือนกะ 23 วัน จับที่เหงือกจะสัมผัสได้ว่าฟันซี่แรกของลูกน้อยขึ้นมาแล้ว น่าตื่นเต้นดีจัง ฟันล่างขึ้นมา 2 ซี่ ฟันบน 1 ซี่ พร้อมๆกันเลย ทำให้ช่วงนี้น้องเริ่มมีอาการหงุดหงิดง่าย น้ำลายไหลตลอดทั้งวัน เห็นอะไรที่ใกล้มือจะหยิบเอาใส่ปากหมด ต้องคอยระวังเป็นพิเศษเลย เรื่องหยิบของเข้าปากเนี้ย แล้วในช่วงกลางคืน น้องจะนอนหลับไม่สนิท รู้สึกตัวตลอด แต่ก็มีวิธีช่วยคลายอาการเหล่านี้นะคะ คือ หายางกัด สำหรับเด็กโดยเฉพาะ เอาไว้ให้ลูกน้อยกัดเวลาที่หมั่นเขี้ยว สามารถเอาไปแช่ในตู้เย็นให้เย็นๆ แล้วเอามาให้ลูกน้อยกัดเล่นจะช่วยคลายอาการปวดเหงือกได้ แล้วต้องให้ลูกน้อยกินน้ำเยอะๆเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป ก็คือ น้ำลายที่ไหลออกนั้นเอง ช่วงที่น้องเริ่มหงุดหงิด ก็หากิจกรรมสนุกๆมาเล่นกะเค้า เช่น ร้องเพลง จับเค้าเต้นไป มา โยกซ้าย โยกขวา ช่วยให้น้องอารมณ์ดีได้ ในช่วงกลางคืนที่ลูกน้อยนอนหลับไม่สนิทก็จะนอนกอดเค้า เค้าจะรู้สึกอบอุ่น หลับสนิทได้คะ คุณแม่มือใหม่สามารถนำไปใช้ได้นะคะ
สำหรับคุณแม่ท่านใดที่ลูกน้อยครบ 6 เดือนแล้วฟันยังไม่ขึ้นไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะฟันซี่แรกจะขึ้นในช่วง 8 ถึง 9 เดือน ถือว่าปกติอยู่ การที่ลูกน้อยฟันขึ้นช้า อาจจะเกิดจากการที่ร่างกายลูกขาดสารอาหารประการหนึ่งแล้ว แต่ก็อาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่นๆด้วย แต่หลัง 9 เดือนไปแล้ว ฟันลูกน้อยยังไม่ขึ้นเลย ต้องพาลูกน้อยไปหาหมอฟันแล้วละคะ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ลูกดี...เลือกได้ ! ปาฏิหาริย์แห่งรักจากพ่อแม่

ดร.สนอง วรอุไร อธิบายเรื่อง การเลือกลูกในแบบที่ต้องการ ไว้ในหนังสือ "ทำชีวิตให้ได้ดีและมีสุข" ว่า อยากได้ลูกประเภทไหน พ่อแม่สามารถเลือกได้ ด้วยการตั้งจิตอธิฐาน กำหนดสเป็คเอาไว้ให้ชัดเจนว่าจะต้อนรับดวงจิตแบบไหน ให้มาเกิดเป็นลูกในท้อง หากไม่ตั้งสเป็คไว้ว่าอยากได้ลูกอย่างไร มีโอกาสสูงว่าจะได้ลูกเวรลูกกรรมมาเกิดเพื่อจองล้างจองผลาญพ่อแม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารที่สุด เพราะลูกใครใครก็รัก แม้ว่าจะเป็นลูกเวรลูกกรรม พ่อแม่ยังต้องทนรัก นี่เป็นเพราะว่าก่อนมีลูกไม่ตั้งสเป็คไม่อธิฐานจิตไว้ให้ดี
ดังนั้นก่อนจะมีลูกต้องตั้งสติให้รอบคอบ อธิฐานจิตขอให้ได้ลูกที่ดี คือ หนึ่ง ขอให้ได้ดวงจิตที่ดี มีสัมมาทิฏฐิ มีศีลมาเกิด และสอง ถ้าให้ดีขอให้มีสวรรคสมบัติ มีบริวารมาด้วย หากเราหลับหูหลับตาไม่สนใจ ปล่อยให้ใครมาเกิดก็ได้ อาจได้ลูกที่มาจากอบายภูมิได้สัตว์นรกที่เพิ่งหมดเวรในนรกมาเกิด ในที่สุดอาจจบลงตามนิสัยเดิมด้วยการฆ่าพ่อฆ่าแม่ ได้ลูกเปรตมาเกิด เช้าขอ เย็นขอ รีดไถจน พ่อแม่หนี้สินท่วมหัว ได้สัตว์เดรัจฉานมาเกิด จะดื้อด้าน พูดกันดีๆไม่รู้เรื่อง ต้องเฆี่ยนตี ต้องตะคอก ดังนั้นจึงควรตั้งสเป็คไว้ก่อนมีบุตร
ในทัศนะของ ดร.สนอง การตั้งสเป็คลูกมิได้หมายความถึง การกำหนดรูปร่างหน้าตาหรือองค์ประกอบภายนอก หากหมายถึงสเป็ค "ภายใน"ที่จะเป็นปัจจัยให้ลูกมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี อันเป็นเงื่อนไขที่สำคัญยิ่งกว่า สำหรับการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพในอนาคต


ขอขอบคุณนิตยสาร ซีเคร็ต สำหรับเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับคุณแม่มือใหม่คะ

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

การปฏิบัติตนของมารดาในระยะหลังคลอด

  • ความสำคัญของระยะหลังคลอด ระยะหลังคลอด เป็นระยะปรับตัวของมารดาทั้งด้านจิตใจและร่างกาย ทางจิตใจนั้นต้องปรับสภาพชีวิต ให้เป็นทั้งมารดาของชีวิตใหม่และเป็นภรรยาที่ดีของสามี ในทางร่างกายธรรมชาติจะปรับสภาพของอวัยวะต่างๆ ให้กลับสู่สภาพปกติ ดังนั้นการปฏิบัติตนหลังคลอดที่ถูกต้องจะทำให้สุขภาพของมารดามีความสมบูรณ์ทั้งจิตใจและร่างกายทั้งในระยะนี้และในอนาคตภายหน้าเมื่อสูงวัยขึ้น
  • การรักษาสุขภาพจิต สามี ควรเอาใจใส่ ให้กำลังใจ แสดงความเอื้ออาทรต่อทุกข์สุข ช่วยประกอบกิจวัตรประจำวัน และดูแลช่วยเหลือในการเลี้ยงลูก เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพจิตของมารดาหลังคลอด ช่วยคลายความเครียดและความกังวลในการปรับตนเองเพื่อ พร้อมสำหรับ "ความเป็นมารดา"และ"ความเป็นภรรยา"
  • อาหาร ควรได้อาหารจำพวกโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต มากกว่าระยะตั้งครรภ์ เพื่อความสมบูรณ์ในการเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่ ไม่ควรงดอาหารโดยเด็ดขาด และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มประเภทแอลกฮอร์ทุกชนิด เช่น สุรา เบียร์ หรือ ยาดองเหล้า
  • กิจวัตรประจำวัน อาบน้ำ สระผมได้ตามปกติที่เคยปฏิบัติ ไม่ควรอยู่ในสถานที่อับ อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควรบริหารร่างกายบ้างเพื่อให้กระปรี้กระเปร่าสดชื่นอยู่เสมอ
  • การดูแลน้ำคาวปลาและฝีเย็บ ในระยะแรกน้ำคาวปลาจะเป้นสีแดง และลดปริมาณลงเรื่อยๆเป็นสีชมพู่และจางเป็นน้ำสีเหลืองๆ ภายใน 2-3 สัปดาห์ ควรใช้ผ้าอนามัยที่สะอาดรองรับน้ำคาวปลา และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ ในระยะแรกๆแผลฝีเย็บควรล้างด้วยน้ำอุ่น/น้ำสบู่ให้สะอาดแล้วซับให้แห้ง ถ้าปวดแผลมากและแผลบวมแดง กดเจ็บ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดการอักเสบของแผลฝีเย็บ
  • การออกกำลังกาย ควรกระทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน และต่อเนื่องตลอดไป (สามีควรให้การช่วยเหลือ+ให้กำลังใจ) โดย เมื่อสามารถช่วยตนเองได้คล่องแล้ว ควรบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ลดไขมันสะสมที่หน้าท้อง สำหรับการผ่าคลอดไม่ควรบริหารก่อนเพราะจะมีผลต่อแผลที่ผ่าคลอด วิธีการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง นอนราบกับพื้นแล้วค่อยๆยกแขนทั้งสองข้าง ยกศีรษะและลำตัวขึ้น พยายามจรดปลายนิ้วมือให้แตะกับปลายนิ้วเท้า บริหารครั้งละ 30-50 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน โดยเริ่มจาก 10-20 ครั้งในระยะแรกแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเมื่อหายเจ็บแผลฝีเย็บ ควรบริหารกล้ามเนื้อช่องคลอดและฝีเย็บ ด้วยการขมิบทวารวันละหลายๆครั้งปรมาณ 50 ครั้ง
  • การร่วมเพศ มารดาหลังคลอดทุกคนสามารถร่วมเพศได้ เมื่อน้ำคาวปลาหมดและไม่เจ็บแผลฝีเย็บ แต่ไม่ควรก่อนตรวจหลังคลอด เมื่อครบ 6 สัปดาห์ และควรคุมกำเนิดทุกครั้ง เพราะไข่อาจจะตกและเกิดการปฏิสนธิได้โดยที่ยังไม่มีระดู วิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมในระยะนี้ก็คือการใช้ถุงยางอนามัย
  • การตรวจหลังคลอด มารดาทุกคนควรได้รับการตรวจฟัน ตรวจร่างกายและตรวจภายใน คือการตรวจช่องคลอด ปากมดลูก และรังไข่ และรับการคุมกำเนิด เมื่อครบเวลา 6 สัปดาห์ หลังคลอด ที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุข

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

ภาวะปกติที่ควรรู้ในทารกแรกเกิด

เป็นสิ่งที่คุณแม่มือใหม่จะต้องเรียนรู้ว่าภาวะใดที่ถือว่าปกติของทารกแรกเกิดและถือปฏิบัติจะเรียกว่าพื้นฐานก็ได้คะ


  • การสะดุ้งหรอผวา เวลามีเสียงดัง หรือเวลาสัมผัส แสดงถึงระบบประสาทที่ปกติ จะพบได้ในทารกที่นอนหลับสนิท และจะสะดุ้งหรอผวาจนอายุครบ 6 เดือน

  • การบิดตัว ทารกที่คลอดตามกำหนด จะมีการเคลื่อนไหวเวลานอนคล้ายผู้ใหญ่บิดขี้เกียจ ทารกจะยกแขนเหนือศีรษะ งอเข่า และบิดตัว พบได้ในทารกที่ปกติ

  • การสะอึก เกิดจากทารกดูดนมมาก และเร็ว ทำให้ กระเพาะอาหารขยายใหญ่ ดันกระบังลม ทำให้สะอึก วิธีแก้ไขก็คือให้อุ้มไล่ลมในท่านั่ง หรือว่าอุ้มพาดบ่า นาน 5 - 10 นาที

  • การแหวะนม ทารกแรกเกิด หูรูดกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่ดี เมื่อดูดนมและดูดกลืนอากาศเข้าไป ทำให้แหวะนมหลังให้นม วิธีแก้ ก็ให้ไล่ลมบ่อย ระหว่างให้นมลูก โดยการอุ้มให้นั่งหรืออุ้มพาดบ่าหลังให้นม หรือว่าให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อยและนอนตะแคงขวานาน ประมาณครึ่งชั่วโมง

  • ผิวหลังลอก จะเกิดขึ้นหลังจากอายุ 1-2 วัน จะหายไปราว 2-3 วัน โดยไม่ต้องทำการรักษาใดๆ

  • ลิ้นขาว ให้คุณแม่ใช้ผ้าอ้อมชุบน้ำต้มสุก พันที่นิ้วก้อยให้แน่น เช็ดที่ลิ้นทารกวันละครั้ง

  • มีมูกหรือว่าเลือดออกทางช่องคลอด จะออกใน 3-5 วันหลังจากคลอดและจะหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนจากแม่ ที่ผ่านไปยังทารกเมื่ออยู่ในครรภ์นั้นเอง

  • ผื่นผ้าอ้อม ผิวหนังจะมีสีแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ เกิดจากการระคายเคือง จากสิ่งของที่มาสัมผัส เช่น ความชื้นจาการสัมผัสปัสสาวะ อุจจาระนานเกินไป หรือการคั่งค้างของน้ำยาซักผ้าอ้อม การป้องกัน ดูแลให้ผิวหนังแห้ง อย่าปล่อยให้แช่ปัสสาวะ อุจจาระนานเกินไป ล้างแล้วเช็ดให้แห้ง และเปลี่ยนผ้าอ้อมทันที

  • การมีจุดขนาดเล็กสีขาวนวล บริเวณจมูก ริมฝีปากและแก้มจะหายไปเองหลังคลอด 1-2 สัปดาห์

  • การถ่ายอุจจาระบ่อย ทารกแรกเกิดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว จะถ่ายอุจจาระบ่อย กระปริดกระปรอย อาจจะถ่ายอุจจาระได้ถึงวันละ10-20 ครั้ง เพราะน้ำนมแม่ ย่อยง่ายและมีน้ำเหลืองเจือปน ซึ่งจะช่วยระบายท้อง

  • การไม่ถ่ายอุจจาระทุกวัน ภายหลังคลอด 4 สัปดาห์ น้ำนมแม่จะเป็นน้ำนมแท้ ไม่มีน้ำนมเหลืองเจือปน เนื่องจากน้ำนมแม่ย่อยง่าย ทำให้เหลือกากน้อย ทารกที่ดูดนมแม่อาจจะไม่ถ่ายทุกวัน

  • ท้องผูก หมายถึงการถ่ายอุจจาระเป็นก้อนแข็งทั้งกอง อาการท้องผูกพบบ่อยในทารกที่เลี้ยงด้วยนมผสม และชงนมไม่ถูกส่วน อาจจะจางหรือข้นไป หรือทำให้ไม่เหมาะสมกับวัย เช่นให้นมสำหรับเด็กโตแก่ทารก

หากลูกน้อยมีอาการต่อไปนี้ควรนำไปพบแพทย์ คือ อาเจียนทุกครั้งหลังกินนม ท้องอืดมาก ไข้สูง ท้องเสียบ่อย ซึม ดูดนมน้อยลง ซีด ชักเกร็ง ตัวเหลือง ตาเหลือง สะดืออักเสบบวมแดง มีหนองออกจากโคนสะดือ

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

การดูแลทารกแรกเกิด



เห็นมือน้อยๆเท้าน้อยๆ ของลูก คุณแม่อาจจะน้ำตาไหลด้วยความดีใจ จากการรอคอยที่แสนจะยาวนาน เมื่อไหร่แม่จะได้เห็นหน้าลูกน้อย ยิ่งเป็นคุณแม่มือใหม่ด้วยแล้ว จะยิ่งทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงลูกร้องจ้ามากๆ หัวใจอาจจะหล่นไปที่ตาตุ้มก็ได้ อุ้ยแรกๆก็มียายมาช่วยดู แรกๆทำอะไรไม่ถูกเลย เหมือนกัน กลัวทำให้ลูกเจ็บ มาดูพื้นฐานการดูแลทารกแรกเกิดกันคะ
  • อาหาร : ควรให้ลูกน้อยกินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อยสุด 6 เดือน ยกเว้นกรณีที่มีข้อห้ามทางการแพทย์ ยิ่งช่วงหลังคลอดใหม่ๆควรจะให้ลูกน้อยได้ดูดนมเลย เป็นการเร่ง ให้เต้านม ผลิตน้ำนม นั้นเอง
  • การอาบน้ำ : อาบด้วยนน้ำอุ่นนะคะ วันละ 3 ครั้ง เช้า เที่ยง เย็น และควรสระผมวันละครั้ง ไม่ควรอาบน้ำทันทีหลังลูกน้อยกินนมเพิ่งเสร็จใหม่ๆคะ ทำให้ให้ลูกน้อยแหวะนมได้
  • การขับถ่าย : ทารกที่กินนมแม่จะถ่ายบ่อย มีสีเหลือง จะมีเม็ดเล็กๆคล้ายเม็ดมะเขือ ปะปนอยู่ด้วย เพราะนมแม่ย่อยง่าย ช่วยระบายท้อง หลังถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ ให้เปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้ง ทำความสะอาดก้น เช็ดด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น การเช็ดให้เช็ดจากบนลงล่าง ห้ามเช็ดกลับไปกลับมานะคะ
  • การดูแลสะดือทารก : สะดือจะหลุดภายใน 7-14 วัน ดูแลให้โคนสะดือ และสะดือ แห้งเสมอ เช็ดด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ วันละ 3 ครั้ง เมื่อสะดือใกล้จะหลุดจะมีเลือดออกมาด้วย ไม่ต้องตกใจนะคะ ห้ามใช้แป้งและยาโรยสะดือ
  • การทำความสะอาดเสื้อ ผ้าอ้อม : ซักด้วยสบู่เด็กหรือน้ำยาซักผ้าเด็ก ควรแยกซักจากของผู้ใหญ่

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาเตรียมพร้อมจัดกระเป๋าลูกน้อยกันคะ

สมัยก่อนโบราณจะถือเรื่องการซื้อของใช้เตรียมไว้ให้ลูกน้อย จะไม่ให้
เตรียมไว้ก่อนเลย อาจจะเป็นการถือเคล็ดว่าให้แม่คลอดลูกน้อยอย่างปลอดภัยก่อน แล้วค่อยซื้อ แต่สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเน้น การเตรียมพร้อมก่อนที่จะคลอดลูกน้อย ของใช้ต่างๆ แม่กับพ่อจะได้เป็นคนเลือกด้วยกัน เพราะถ้ารอให้คลอดก่อนแม่ก็จะไปเดินเลือกของเองไม่ได้ ของใช้ต่างๆที่ซื้อมาอาจจะไม่ถูกใจ การที่เตรียมของใช้ไว้สำหรับลูกน้อยก็จะเป็นการดี เพราะเสื้อผ้าต่างๆต้องทำการซักก่อนนำไปใช้ เดียวผิวลูกน้อยจะเป็นผื่น สำหรับอุ้ยเตรียมไว้แต่ของที่จะต้องนำไปโรงพยาบาล มาดูกันคะว่าต้องเตรียมอะไรกันบ้าง เชื่อโบราณไว้บ้างก็ไม่เสียหายคะ ^^

ของใช้ของลูกน้อยที่ต้องนำไปโรงพยาบาล
  1. ผ้าอ้อมสำลี 6 ผืน สาลู 6 Size 27
  2. ผ้าห่อตัวเด็ก 3 ผืน
  3. เสื้อผ้าเด็กอ่อน ให้เลือกที่ผูกหน้าหรือไม่ก็ผูกหลัง ที่เป็นกระดุมไม่ใช้ก่อนนะคะ
  4. ถุงมือ ถุงเท้า 3-5 คู่ เลือกที่ไม่เป็นไหมพรมนะคะเพราะจะทำให้เกี่ยวกับเล็บลูกน้อย
  5. ผ้าขนหนูผืนใหญ่ 3 ผืน
  6. แป้งเด็ก อุ้ยใช้ ของ นิวบอร์น สำหรับเด็กแรกเกิด
  7. สำลีก้อน,ทิชชู่แบบยาวและแบบสั้น
  8. สบู่เหลวสำหรับอาบน้ำลูกน้อย
  9. ก้านพันสำลี (คัตเติ้ลบัส)
  10. ฟองน้ำธรรมชาติ
ของใช้ของคุณแม่ที่ต้องนำไปโรงพยาบาล
  1. ผ้าอนามัยแบบห่วง 1 ห่อ
  2. กระเป๋าเล็ก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ หวี แป้ง
  3. ยกทรงสำหรับให้นมลูก แผ่นซับน้ำนม
  4. ผ้าขนหนูเช็ดหน้า
  5. ผ้าเช็ดตัวสีเข้มๆ
  6. เสื้อผ้าแบบหลวมๆไว้ใส่ตอนกลับบ้าน
การจัดกระเป๋าสำหรับพาไปโรงพยาบาลควรจัดก่อนคลอดสักประมาณ 1 เดือน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมคะ ^^

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลงซึ้งๆ จากแม่ถึงแม่

ขอเกริ่นก่อนเลยนะคะ ตอนเด็กๆเป็นคนชอบดูละคร เกี่ยวกับแม่ บาง
ครั้งนั่งดูก็มีเช็ดน้ำตาไปด้วย จำได้ว่าละครเรื่องนี้ นานมากแล้ว ยังจำเนื้อร้องได้เลย ชื่อเรื่องว่า ดวงใจแม่ เมื่อก่อนแค่ซึ้ง ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนหนึ่ง แต่มาตอนนี้ ซึ้งทั้งในฐานะลูกสาวแล้วยังซึ้งถึงความเป็นแม่ คือเมื่อก่อนจะรู้แค่ว่า แม่จ๋า..หนูรักแม่นะ ตอนนี้มารู้เพิ่มว่า แม่จ๋ารักลูกนะ ความเป็นแม่จะทำให้เรา ยิ่งรักแม่ มากๆๆมาดูเนื้อร้องกันดีกว่าคะ

เพลงดวงใจแม่ (ที่จริงแล้วไม่รู้ชื่อเพลงหรอกคะ รู้แต่ว่าประกอบละครเรื่องดวงใจแม่)
ฮือ ฮือ.. ฮื่อ ฮื่อ..ฮื่อ ฮื่อ.. ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ.. เจ้าเนื้อละมุนเอย
เจ้าเนื้ออุ่นเหมือนสำลี แม่มิให้ใครต้อง แม้ว่าเจ้าจะหมองศรี
โอ้คนดีของแม่เอย.. ดวงใจ ดวงน้อยของแม่
เฝ้าดูแลให้ความรักดังชีวัน ด้วยชีวิตและด้วยดวงจิตผูกผัน
ลูกคือที่สุดแห่งฝันรักคงมั่นสวยงาม
แม่หนาวเพื่อให้ลูกอุ่น แม่หิวเพื่อลูกอิ่มหนำ
แม่ยอมทุกข์เพื่อลูกสุขล้ำ แม่ยอมทำให้ลูกสุขใจ
บุญคุณค่าน้ำนมแม่ เฝ้าดูแลไม่อาจทนแทนใดใด
แม่เพียงหวังให้ลูกมีสุขสดใส
ก็คือความสุขแห่งใจโดยไม่ต้อง....ตอบแทน

เพลงนี้อุ้ยจะร้องกล่อมลูกสาวก่อนนอนทุกคืนเลยคะ หลับปุ๋ยเลย ^^
อีกเพลงนึงนะคะ ชอบเหมือนกัน ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นที่เป็นเสียงเด็กๆร้อง น่ารักมากเลยคะ

เพลงอิ่มอุ่น
อุ่นใด ๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขน อ้อมกอดแม่ตระกอง
รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน
อิ่มใด ๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มรักลูกหลับนอน
น้ำนมจากอก อาหารของความอาทร แม่พร่ำเตือน พร่ำสอน สอนสั่ง
ให้เจ้าเป็น เด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็น ความหวังของแม่ต่อไป
ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุล ขอน้ำนมอุ่น จากอกให้ลูกดื่มกิน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสอง เชื่อมโยงผูกพัน
ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป
ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุน ขอน้ำนมอุ่น จากอกให้ลูกดื่มกิน.

ขอให้คุณแม่มีความสุขกับการได้ร้องเพลงกล่อมลูกน้อยก่อนนอนกันนะคะ ^^

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มื้อแรกของลูกน้อย

ขอแสดงความยินดีต่อคุณพ่อ คุณแม่และลูกน้อยที่ได้ถือกำเนิดมา
ไม่ว่าลูกของคุณจะเป็นหญิงหรอชาย นับจากวันที่เขาเกิดมาลูกต้องการนมแม่ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพราะน้ำนมแม่คืออาหารที่ธรรมชาติกำหนดมาให้ว่าวิเศษสุดสำหรับลูกน้อย
ประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ประโยชน์ต่อลูกน้อย
น้ำนมแม่จะมีสารอาหารที่ครบถ้วนกระตุ้นการเติบโตของสมอง
และอวัยวะส่วนอื่นๆ ซึ่งจะไม่มีผสมอยู่ในนมชนิดอื่น เด็กที่กินนมแม่จึงเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีทั้งร่างกายและสมอง มีผลให้เชาว์ปัญญาดี นมแม่มีคุณสมบัติพิเศษ มีสารภูมิต้านทานป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคหวัด ปอดอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันนั้นทันที ตั้งแต่การกลืนนมแม่มื้อแรกๆและต่อๆไป
ประโยชน์ต่อแม่
  1. เกิดความรัก และความผูกพันต่อลูก ระหว่างที่ให้ลูกน้อยกินนม สายตาแม่ลูกจะจับจ้องกัน เป็นสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกับลูกน้อย
  2. ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยขับน้ำคาวปลา ซึ่งในขณะที่ลูกน้อยกำลังดูดนม จะรู้สึกได้มดลูกมีการบีบตัว
  3. โอกาสที่แม่จะเป็นมะเร็งเต้านมน้อยลง
  4. ทำให้แม่ไม่อ้วนด้วย เพราะไขมันที่สะสมไว้ขณะที่ตั้งครรภ์จะค่อยๆถูกนำมาใช้สร้างน้ำนมให้ลูกน้อย
  5. สะดวก ประหยัดเงินและเวลา
ซึ่งสำหรับตัวอุ้ยเองก็มีปัญหา เรื่องน้ำนม เหมือนกัน ช่วงที่อยู่
โรงพยาบาล พยาบาลจะให้ปลุกลูกน้อยมาดูดนมทุก 2 ชั่วโมง แรกคลอดทารกจะนอนหลับซะมากกว่าตื่น เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้เต้านมเราผลิตน้ำนม ตัวอุ้ยเองระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะไม่มีน้ำนมออกมา ในช่วงใกล้ๆคลอด ต่างจากคนอื่น ที่พอใกล้คลอดจะมีน้ำนมไหลออกมา ช่วงแรกๆน้ำนมจะไม่ค่อยมี พยาบาลบอกว่าให้ลูกน้อยขยันดูดเดียวก็มีเอง ซึ่งเราก็กลัวว่าลูกจะไม่อิ่ม จากการให้ลูกน้อยดูดบ่อยๆ และดูดผิดวิีธี ทำให้หัวนมของแม่มีเลือดออก เกิดการอักเสบ ขึ้นมา ทุกครั้งที่ลูกน้อยดูดนม น้ำตาของแม่จะไหล มันเจ็บไปถึงหัวใจ จี๊ดๆเลย จะไม่ให้ลูกกินนมแม่ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเลี้ยงเค้าด้วยนมแม่เอง จะให้กินยา หรอทายาอะไร ก็กลัวจะมีผลต่อลูก ก็ปรึกษาคุณหมอว่าจะทำยังไงดี คุณหมอบอกว่าที่หัวนมเป็นแผลเกิดจาก ลูกน้อย ดูดนมผิดวิธี นั้นเอง แล้วคุณหมอก็สอนเคล็ดลับความสำเร็จ ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือ
  • ดูดเร็วที่สุด ยิ่งลุกดูดเร็วเท่าไร ตั้งแต่ใน 30-40 นาที แรก หลังคลอดจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเร่งผลิตน้ำนมออกมามากเท่านั้น แม่ควรรีบให้ลูกดูดนมทั้งๆที่ยังไม่มีน้ำนมเพื่อเป็นการกระตุ้น นอกจากนั้นในช่วง 2-3 วันแรก จะมี หัวน้ำนม สีเหลือง ซึ่งมีสารอาหารโปรตีน และสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเข็มข้น ลูกน้อยจึงควรได้ดูดนมเหลืองนี้
  • ดูดบ่อย เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล ลูกน้อยจะมานอนอยู่กับแม่ตลอดเวลา และมีโอกาสดูดนมแม่เสมอตามความต้องการของลูก การดูดบ่อยจะเป็นการกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมมากขึ้น และจะช่วยลดอาการนมคัดในกรณีที่มีน้ำนมมากได้ด้วย
  • ดูดให้ถูกท่า การดูดที่ถูกท่า ทำให้ลูกน้อยดูดได้อย่างสบายเต็มที่และกระตุ้นให้หลั่งน้ำนมได้เป็นอย่างดี โดยแม่อุ้มลูกน้อยกระชับเข้าหาเต้านมแม่ ใช้มือประคองเต้านม สอดหัวนมเข้าปากลูกให้ลึกพอจนถึงลานนม จะไม่ทำให้หัวนมแตก
  • ดูดให้หมดเต้า ควรให้เด็กกินนมทั้งสองเต้า เพราะจะเป็นการกระตุ้นแต่ะละข้างให้ผลิตน้ำนม และป้องกันไม่ให้นมคัด เมื่อลูกน้อยอิ่ม หรอต้องการหยุดดูดให้กดเต้านมออกจากมุมปาก อย่าดึงเต้านมออกตรงๆ จะทำให้หัวนมเป็นแผล และเป็นอันตรายต่อเหงือกของลูกน้อย เมื่อจะให้นมมื้อต่อไป ควรจะเริ่มจากข้างที่ให้ดูดทีหลังก่อน เพราะน้ำนมที่ค้างจะมีประโยชน์มาก
การปฏิบัติตัวของแม่
  • ให้คิดเสมอว่าน้ำนมพอ ถ้าคิดว่าน้ำนมไม่พอจะยิ่งกังวลใจ ร่างกายจะผลิตน้ำนมได้น้อยลง
  • กินอาหารที่มีประโยชน์เน้นอาหารประเภท เนื้อ นม ไข่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ มีผลให้น่ำนมน้อยลงได้
  • ทำจิตใจให้สบาย

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

mom mom

วันนี้ที่รอคอย วันที่แม่ได้เห็นหน้าลูกสาว

วันที่ 2 กันยายน 2552 เป็นวันที่ครบกำหนดคลอดของลูกสาว แม่เลือก
วิธีการคลอดแบบธรรมชาติ เพื่ออยากจะให้ลูกมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งการคลอดแบบธรรมชาติในขณะทีศีรษะและทรวงอกของทารกผ่านทางช่องคลอดออกมานั้น จะช่วยบีบไล่เอาน้ำคร่ำ ที่ค้างอยู่ในปอด หลอดลม หรือกระเพาะอาหารของทารกออกมาเองตามธรรมชาติ เมื่อลูกน้อยเกิดมา แล้ว จะได้ไม่เกิดการสำลักเอาน้ำคร่ำเข้าไปในปอดให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดิน หายใจได้ ปากมดลูกที่เปิดขยายกว้าง ให้ลูกน้อยผ่านออกมาและยังช่วยขับน้ำคาวปลาออกได้เป็นอย่างดีด้วย
ตั้งแต่ผลการเจาะน้ำคร่ำว่าลูกของแม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นชนิดที่
ไม่รุนแรงมาก ก็จริง แต่ถ้าแม่เลือกได้ แม่ไม่อยากให้ลูกสาวของแม่เป็นโรคอะไรเลย อยากให้ลูกสาวเหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วๆไป ซึ่งตัวแม่เองก็ไม่รู้ว่าลูกน้อยที่จะเกิดมาจะเป็นยังไง ตั้งแต่วันนั้นที่รู้ จนถึงตอนนี้ แม่ก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อลูกสาว หัวใจของคนที่เป็นแม่ จะรู้สึกแย่แค่ไหนที่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นโรคตั้งแต่อยู่ในท้อง ก่อนนอนร้องไห้ เพราะสงสารลูก แต่ก็กลับคิดขึ้นมาว่า แม่ร้องไห้ แม่เครียด ลูกสาวแม่ที่อยู่ในท้องเราก็คงจะเครียดไปด้วย พ่อจะคอยปลอบใจแม่ให้ สู้ เพื่อลูกของเรา
วันที่ 31 สิงหาคม 2552 คุณหมอนัดตรวจตามปกติ ซึ่งตัวแม่เองยังไม่
มีอาการว่าจะเจ็บท้องคลอดเลย คุณหมอได้ตรวจปากมดลูกให้ บอกว่า ปากมดลูกเปิด 2 cm. แล้วให้ไปโรงพยาบาลได้เลย คงจะคลอดภายในคืนนี้แหล่ะ คุณหมอบอก ใจของแม่ตอนนั้น ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ...พ่อพาแม่มาถึงโรงพยาบาลตอน 4 ทุ่มกว่าๆ เข้าไปในห้องรอคลอด เสียงร้อง ครวนคราง ปานใจจะขาด ทำให้ใจแม่เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย คิดในใจว่าทำไมเค้าต้องร้องไห้ขนาดนั้น มันเจ็บมากเลยหรอ พยาบาลให้แม่เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็โกนขนเพชรออก และก็ยังโดนสวนตูดอีกตะหาก พยาบาลบอกว่าง่ายในการทำความสะอาดและไม่เสี่ยงในการติดเชื้อด้วย ตลอดทั้งคืนนั้นตัวแม่เองก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงร้องของแม่ข้างๆนั้นเอง รวมทั้งพยาบาลและผู้ช่วย ที่คอยมาตรวจดูปากมดลูกของแม่ตลอด สรุปว่าคืนนั้นแม่ก็ไม่เจ็บท้องคลอดเลย


จนกระทั่ง 9 โมงเช้าของวันที่ 1 กันยายน 2552 คุณหมอมาตรวจปากมดลูก เปิด 4 cm. แล้ว แต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตกเลย คุณหมอเลยทำการเจาะถุงน้ำคร่ำให้ และบอกว่าแม่จะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทนไม่ได้ ให้ขอยากับพยาบาลได้เลย ซึ่งแม่ก็ถามว่าจะมีผลต่อลูกสาวหรอป่าว คุณหมอก็บอกว่า ก็มีผลนะ แค่นั้นแหละ แม่ก็บอกว่างั้นไม่เอาดีกว่าคะ แม่นอนทนกับความเจ็บปวดที่มาเป็นระยะๆ และรู้สึกว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ พลางก็ลูบท้องพูดกับลูกว่า ลูกแม่จ๋า เดียวเราก็จะได้เห็นหน้ากันแล้วนะ ช่วยๆกันหน่อยนะลูกแม่ อย่าให้แม่เจ็บนานนะ ตอนนั้นคิดว่าการร้องออกมาเป็นการปลดปล่อย เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้น แม่รู้สึกว่ามีน้ำอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย จะลุกขึ้นดูก็ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บมาก มาก จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ร้องเรียกชื่อยายตลอด และก็คิดว่า เมื่อก่อนตอนที่เกิดแม่ ยายคงจะเจ็บมากๆเหมือนกัน ความรู้สึกว่า จากที่รักแม่อยู่แล้ว กลายเป็นรักแม่ มากๆๆๆๆขึ้นไปอีก นอนร้องครวนครางจนกระทั้งเวลา 12.00 นาฬิกา ก็ต้องขอยาแก้ปวดกับพยาบาล เพราะแม่เจ็บมากๆ นอนดิ้นไป ดิ้นมา ความรู้สึกนี้ คนที่ไม่เคยไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร
13.30 นาฬิกา คุณหมอมาตรวจปากมดลูกอีกรอบ และก็ให้พยาบาล
เข็นแม่เข้าห้องคลอดได้เลย เสียงทั้งคุณหมอ พยาบาลและผู้ช่วย บอกให้แม่ออกแรงเบ่ง 1 2 3 เบ่ง คะ คุณแม่ เบ่งคะ อ้าว เอาใหม่นะคะ แม่จะได้ยินแต่เสียง เพราะแม่ไม่ลืมตาดูเลย ด้วยความที่เจ็บมากมาย ดีหน่อยที่ได้ฝึกการหายใจเอาไว้ ซึ่งก็ช่วยได้เยอะนะคะ แม่ใช้เวลาในการเบ่งลูก รู้สึกว่านานมาก ก็พูดกับคุณหมอว่า แม่คงไม่ไหวแล้วละ คุณหมอจะผ่าหรอว่าจะทำยังไงต่อไปก็ได้คะ เพราะตอนนั้นแม่หมดแรงแล้ว จากที่เมื่อคืน นอนก็นอนไม่หลับ แถมตอนเช้าก็ไม่ได้กินอะไร เพราะคุณหมองดอาหาร เผื่อฉุกเฉินต้องผ่าตัด แต่คุณหมอก็พยายามมากเลยคะ บอกตลอดว่าใกล้แล้วคะ คุณแม่ คุณแม่ออกแรงอีกนิดนะคะ เห็นหัวลูกสาวแล้ว แม่ก็รวบรวมแรงเบ่ง อีก รอบ จากที่คิดว่าไม่ไหวแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่ามีแรงมาจากไหน รู้สึกได้ว่ามีอะไรผ่านออกมา จากที่เจ็บท้องมากๆๆก็หายไปหมด ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ทิ้งไว้แต่ร่องรอย หน้าแม่มีแต่เหงื่อเปียกโชก ได้ยินเสียงพยาบาลบอกว่า ลูกหนัก 3650 กรัม พยาบาลพาลูกมาให้นอนบนอกแม่ ลูกสาวรู้ไหมว่า แม่ดีใจมากที่สุดในโลกเลยที่ได้เห็นหน้าลูกสาว แม่มองหน้าลูกน้อยแล้วรู้สึกว่าแม่จะหมดแรงไปเลย คุณหมอบอกว่า ลูกตัวโตมาก ต้องใช้อุปกรณ์เข้ามาช่วย คือเครื่องดูด มันจะไม่มีผลอะไรกับลูกน้อย ศีรษะของลูกที่ไม่เป็นรอยเพราะคุณแม่เบ่งเป็น คุณหมอบอก พยาบาลบอกเวลาที่คลอดลูก 15.59 แม่นอนที่ห้องคลอดอยู่ 2 ชม.แบบว่าหลับแต่ไม่สนิทนะ พ่อเข้ามาจับมือแม่ บอกว่าลูกสาวน่ารักมากเลย แม่ยิ้ม อยากจะออกไปกอดลูก หลังคลอดจะรู้สึกว่าหิวน้ำเย็นมาก ระหว่างที่เบ่งอยู่พยาบาลยังคอยป้อนน้ำให้กินเลย เพราะต้องใช้แรงมากจริงๆ ความรู้สึกของความเป็นแม่ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


หลังจากออกจากห้องคลอดแล้ว แม่ก็มานอนรอที่ห้องให้พยาบาลพาลูกมาให้ ซึ่งยายของลูกก็มารอแม่อยู่แล้ว ได้เห็นยายแม่ดีใจมาก รู้สึกอุ่นใจที่สุดเลย แล้วพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้แม่ โอ้ ลูกสาวของแม่ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน พ่อบอกว่าลูกสาวยิ้มเก่่งมากตั้งแต่ออกมาจากห้องคลอดแล้ว ออเอ้ ตลอดเลย หันมอง โน่นนี่ได้เห็นหน้าลูกสาวและแม่ปลอดภัย พ่อบอกว่าก็ดีใจที่สุดแล้ว มื้อแรกของลูกน้อยคือน้ำนมแม่ แม่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกน้อยด้วยนมแม่เอง แม่ถามคุณหมอว่า จะรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของแม่จะมีอาการซีด มากน้อย แค่ไหน คุณหมอบอกว่า เลือดในตัวลูกน้อยตอนนี้จะเหมือนกับของแม่ ต้องรอให้ลูกน้อยอายุครบ 1 ขวบก่อนถึงจะตรวจเลือดลูกน้อยได้ แม่ก็ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้ลูกสาวแม่เป็นอะไร ถ้ารักษาหายได้ แม่ก็จะรักษา
แม่กับพ่อได้คิดกันไว้ล่วงหน้าว่าต่อไปลูกอาจจะต้องการใช้เลือดที่เข้า
กับตัวลูกเอง พ่อกับแม่เลยใช้วิธีการเก็บสเต็มเซลล์ของลูกไว้ เผื่ออนาคตลูกสาวของแม่มีความจำเป็นต้องใช้ สิ่งอะไรที่พ่อกับแม่ ทำเพื่อลูกสาวได้ พ่อกับแม่ก็จะทำ และก็จะทำให้ดีที่สุด เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ทุกคนนะคะ