Welcom to new mom blog

ยินดีต้อนรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ แชร์ประสบการณ์และหาความรู้เพิ่มเติม

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาเตรียมพร้อมจัดกระเป๋าลูกน้อยกันคะ

สมัยก่อนโบราณจะถือเรื่องการซื้อของใช้เตรียมไว้ให้ลูกน้อย จะไม่ให้
เตรียมไว้ก่อนเลย อาจจะเป็นการถือเคล็ดว่าให้แม่คลอดลูกน้อยอย่างปลอดภัยก่อน แล้วค่อยซื้อ แต่สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเน้น การเตรียมพร้อมก่อนที่จะคลอดลูกน้อย ของใช้ต่างๆ แม่กับพ่อจะได้เป็นคนเลือกด้วยกัน เพราะถ้ารอให้คลอดก่อนแม่ก็จะไปเดินเลือกของเองไม่ได้ ของใช้ต่างๆที่ซื้อมาอาจจะไม่ถูกใจ การที่เตรียมของใช้ไว้สำหรับลูกน้อยก็จะเป็นการดี เพราะเสื้อผ้าต่างๆต้องทำการซักก่อนนำไปใช้ เดียวผิวลูกน้อยจะเป็นผื่น สำหรับอุ้ยเตรียมไว้แต่ของที่จะต้องนำไปโรงพยาบาล มาดูกันคะว่าต้องเตรียมอะไรกันบ้าง เชื่อโบราณไว้บ้างก็ไม่เสียหายคะ ^^

ของใช้ของลูกน้อยที่ต้องนำไปโรงพยาบาล
  1. ผ้าอ้อมสำลี 6 ผืน สาลู 6 Size 27
  2. ผ้าห่อตัวเด็ก 3 ผืน
  3. เสื้อผ้าเด็กอ่อน ให้เลือกที่ผูกหน้าหรือไม่ก็ผูกหลัง ที่เป็นกระดุมไม่ใช้ก่อนนะคะ
  4. ถุงมือ ถุงเท้า 3-5 คู่ เลือกที่ไม่เป็นไหมพรมนะคะเพราะจะทำให้เกี่ยวกับเล็บลูกน้อย
  5. ผ้าขนหนูผืนใหญ่ 3 ผืน
  6. แป้งเด็ก อุ้ยใช้ ของ นิวบอร์น สำหรับเด็กแรกเกิด
  7. สำลีก้อน,ทิชชู่แบบยาวและแบบสั้น
  8. สบู่เหลวสำหรับอาบน้ำลูกน้อย
  9. ก้านพันสำลี (คัตเติ้ลบัส)
  10. ฟองน้ำธรรมชาติ
ของใช้ของคุณแม่ที่ต้องนำไปโรงพยาบาล
  1. ผ้าอนามัยแบบห่วง 1 ห่อ
  2. กระเป๋าเล็ก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ หวี แป้ง
  3. ยกทรงสำหรับให้นมลูก แผ่นซับน้ำนม
  4. ผ้าขนหนูเช็ดหน้า
  5. ผ้าเช็ดตัวสีเข้มๆ
  6. เสื้อผ้าแบบหลวมๆไว้ใส่ตอนกลับบ้าน
การจัดกระเป๋าสำหรับพาไปโรงพยาบาลควรจัดก่อนคลอดสักประมาณ 1 เดือน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมคะ ^^

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลงซึ้งๆ จากแม่ถึงแม่

ขอเกริ่นก่อนเลยนะคะ ตอนเด็กๆเป็นคนชอบดูละคร เกี่ยวกับแม่ บาง
ครั้งนั่งดูก็มีเช็ดน้ำตาไปด้วย จำได้ว่าละครเรื่องนี้ นานมากแล้ว ยังจำเนื้อร้องได้เลย ชื่อเรื่องว่า ดวงใจแม่ เมื่อก่อนแค่ซึ้ง ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนหนึ่ง แต่มาตอนนี้ ซึ้งทั้งในฐานะลูกสาวแล้วยังซึ้งถึงความเป็นแม่ คือเมื่อก่อนจะรู้แค่ว่า แม่จ๋า..หนูรักแม่นะ ตอนนี้มารู้เพิ่มว่า แม่จ๋ารักลูกนะ ความเป็นแม่จะทำให้เรา ยิ่งรักแม่ มากๆๆมาดูเนื้อร้องกันดีกว่าคะ

เพลงดวงใจแม่ (ที่จริงแล้วไม่รู้ชื่อเพลงหรอกคะ รู้แต่ว่าประกอบละครเรื่องดวงใจแม่)
ฮือ ฮือ.. ฮื่อ ฮื่อ..ฮื่อ ฮื่อ.. ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อ.. เจ้าเนื้อละมุนเอย
เจ้าเนื้ออุ่นเหมือนสำลี แม่มิให้ใครต้อง แม้ว่าเจ้าจะหมองศรี
โอ้คนดีของแม่เอย.. ดวงใจ ดวงน้อยของแม่
เฝ้าดูแลให้ความรักดังชีวัน ด้วยชีวิตและด้วยดวงจิตผูกผัน
ลูกคือที่สุดแห่งฝันรักคงมั่นสวยงาม
แม่หนาวเพื่อให้ลูกอุ่น แม่หิวเพื่อลูกอิ่มหนำ
แม่ยอมทุกข์เพื่อลูกสุขล้ำ แม่ยอมทำให้ลูกสุขใจ
บุญคุณค่าน้ำนมแม่ เฝ้าดูแลไม่อาจทนแทนใดใด
แม่เพียงหวังให้ลูกมีสุขสดใส
ก็คือความสุขแห่งใจโดยไม่ต้อง....ตอบแทน

เพลงนี้อุ้ยจะร้องกล่อมลูกสาวก่อนนอนทุกคืนเลยคะ หลับปุ๋ยเลย ^^
อีกเพลงนึงนะคะ ชอบเหมือนกัน ยิ่งเป็นเวอร์ชั่นที่เป็นเสียงเด็กๆร้อง น่ารักมากเลยคะ

เพลงอิ่มอุ่น
อุ่นใด ๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อุ่นอกอ้อมแขน อ้อมกอดแม่ตระกอง
รักเจ้าจึงปลูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกล แม้เพียงครึ่งวัน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสองเชื่อมโยงผูกพัน
อิ่มใด ๆ โลกนี้มิมีเทียบเทียม อิ่มอกอิ่มใจ อิ่มรักลูกหลับนอน
น้ำนมจากอก อาหารของความอาทร แม่พร่ำเตือน พร่ำสอน สอนสั่ง
ให้เจ้าเป็น เด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็น ความหวังของแม่ต่อไป
ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุล ขอน้ำนมอุ่น จากอกให้ลูกดื่มกิน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจเราสอง เชื่อมโยงผูกพัน
ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป
ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้องเพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุน ขอน้ำนมอุ่น จากอกให้ลูกดื่มกิน.

ขอให้คุณแม่มีความสุขกับการได้ร้องเพลงกล่อมลูกน้อยก่อนนอนกันนะคะ ^^

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มื้อแรกของลูกน้อย

ขอแสดงความยินดีต่อคุณพ่อ คุณแม่และลูกน้อยที่ได้ถือกำเนิดมา
ไม่ว่าลูกของคุณจะเป็นหญิงหรอชาย นับจากวันที่เขาเกิดมาลูกต้องการนมแม่ซึ่งเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูก เพราะน้ำนมแม่คืออาหารที่ธรรมชาติกำหนดมาให้ว่าวิเศษสุดสำหรับลูกน้อย
ประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ประโยชน์ต่อลูกน้อย
น้ำนมแม่จะมีสารอาหารที่ครบถ้วนกระตุ้นการเติบโตของสมอง
และอวัยวะส่วนอื่นๆ ซึ่งจะไม่มีผสมอยู่ในนมชนิดอื่น เด็กที่กินนมแม่จึงเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีทั้งร่างกายและสมอง มีผลให้เชาว์ปัญญาดี นมแม่มีคุณสมบัติพิเศษ มีสารภูมิต้านทานป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น โรคหวัด ปอดอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันนั้นทันที ตั้งแต่การกลืนนมแม่มื้อแรกๆและต่อๆไป
ประโยชน์ต่อแม่
  1. เกิดความรัก และความผูกพันต่อลูก ระหว่างที่ให้ลูกน้อยกินนม สายตาแม่ลูกจะจับจ้องกัน เป็นสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกับลูกน้อย
  2. ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยขับน้ำคาวปลา ซึ่งในขณะที่ลูกน้อยกำลังดูดนม จะรู้สึกได้มดลูกมีการบีบตัว
  3. โอกาสที่แม่จะเป็นมะเร็งเต้านมน้อยลง
  4. ทำให้แม่ไม่อ้วนด้วย เพราะไขมันที่สะสมไว้ขณะที่ตั้งครรภ์จะค่อยๆถูกนำมาใช้สร้างน้ำนมให้ลูกน้อย
  5. สะดวก ประหยัดเงินและเวลา
ซึ่งสำหรับตัวอุ้ยเองก็มีปัญหา เรื่องน้ำนม เหมือนกัน ช่วงที่อยู่
โรงพยาบาล พยาบาลจะให้ปลุกลูกน้อยมาดูดนมทุก 2 ชั่วโมง แรกคลอดทารกจะนอนหลับซะมากกว่าตื่น เพื่อเป็นการกระตุ้น ให้เต้านมเราผลิตน้ำนม ตัวอุ้ยเองระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะไม่มีน้ำนมออกมา ในช่วงใกล้ๆคลอด ต่างจากคนอื่น ที่พอใกล้คลอดจะมีน้ำนมไหลออกมา ช่วงแรกๆน้ำนมจะไม่ค่อยมี พยาบาลบอกว่าให้ลูกน้อยขยันดูดเดียวก็มีเอง ซึ่งเราก็กลัวว่าลูกจะไม่อิ่ม จากการให้ลูกน้อยดูดบ่อยๆ และดูดผิดวิีธี ทำให้หัวนมของแม่มีเลือดออก เกิดการอักเสบ ขึ้นมา ทุกครั้งที่ลูกน้อยดูดนม น้ำตาของแม่จะไหล มันเจ็บไปถึงหัวใจ จี๊ดๆเลย จะไม่ให้ลูกกินนมแม่ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเลี้ยงเค้าด้วยนมแม่เอง จะให้กินยา หรอทายาอะไร ก็กลัวจะมีผลต่อลูก ก็ปรึกษาคุณหมอว่าจะทำยังไงดี คุณหมอบอกว่าที่หัวนมเป็นแผลเกิดจาก ลูกน้อย ดูดนมผิดวิธี นั้นเอง แล้วคุณหมอก็สอนเคล็ดลับความสำเร็จ ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือ
  • ดูดเร็วที่สุด ยิ่งลุกดูดเร็วเท่าไร ตั้งแต่ใน 30-40 นาที แรก หลังคลอดจะเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเร่งผลิตน้ำนมออกมามากเท่านั้น แม่ควรรีบให้ลูกดูดนมทั้งๆที่ยังไม่มีน้ำนมเพื่อเป็นการกระตุ้น นอกจากนั้นในช่วง 2-3 วันแรก จะมี หัวน้ำนม สีเหลือง ซึ่งมีสารอาหารโปรตีน และสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างเข็มข้น ลูกน้อยจึงควรได้ดูดนมเหลืองนี้
  • ดูดบ่อย เมื่ออยู่ที่โรงพยาบาล ลูกน้อยจะมานอนอยู่กับแม่ตลอดเวลา และมีโอกาสดูดนมแม่เสมอตามความต้องการของลูก การดูดบ่อยจะเป็นการกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมมากขึ้น และจะช่วยลดอาการนมคัดในกรณีที่มีน้ำนมมากได้ด้วย
  • ดูดให้ถูกท่า การดูดที่ถูกท่า ทำให้ลูกน้อยดูดได้อย่างสบายเต็มที่และกระตุ้นให้หลั่งน้ำนมได้เป็นอย่างดี โดยแม่อุ้มลูกน้อยกระชับเข้าหาเต้านมแม่ ใช้มือประคองเต้านม สอดหัวนมเข้าปากลูกให้ลึกพอจนถึงลานนม จะไม่ทำให้หัวนมแตก
  • ดูดให้หมดเต้า ควรให้เด็กกินนมทั้งสองเต้า เพราะจะเป็นการกระตุ้นแต่ะละข้างให้ผลิตน้ำนม และป้องกันไม่ให้นมคัด เมื่อลูกน้อยอิ่ม หรอต้องการหยุดดูดให้กดเต้านมออกจากมุมปาก อย่าดึงเต้านมออกตรงๆ จะทำให้หัวนมเป็นแผล และเป็นอันตรายต่อเหงือกของลูกน้อย เมื่อจะให้นมมื้อต่อไป ควรจะเริ่มจากข้างที่ให้ดูดทีหลังก่อน เพราะน้ำนมที่ค้างจะมีประโยชน์มาก
การปฏิบัติตัวของแม่
  • ให้คิดเสมอว่าน้ำนมพอ ถ้าคิดว่าน้ำนมไม่พอจะยิ่งกังวลใจ ร่างกายจะผลิตน้ำนมได้น้อยลง
  • กินอาหารที่มีประโยชน์เน้นอาหารประเภท เนื้อ นม ไข่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ มีผลให้น่ำนมน้อยลงได้
  • ทำจิตใจให้สบาย

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

mom mom

วันนี้ที่รอคอย วันที่แม่ได้เห็นหน้าลูกสาว

วันที่ 2 กันยายน 2552 เป็นวันที่ครบกำหนดคลอดของลูกสาว แม่เลือก
วิธีการคลอดแบบธรรมชาติ เพื่ออยากจะให้ลูกมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตั้งแต่แรกคลอด ซึ่งการคลอดแบบธรรมชาติในขณะทีศีรษะและทรวงอกของทารกผ่านทางช่องคลอดออกมานั้น จะช่วยบีบไล่เอาน้ำคร่ำ ที่ค้างอยู่ในปอด หลอดลม หรือกระเพาะอาหารของทารกออกมาเองตามธรรมชาติ เมื่อลูกน้อยเกิดมา แล้ว จะได้ไม่เกิดการสำลักเอาน้ำคร่ำเข้าไปในปอดให้เกิดอันตรายต่อระบบทางเดิน หายใจได้ ปากมดลูกที่เปิดขยายกว้าง ให้ลูกน้อยผ่านออกมาและยังช่วยขับน้ำคาวปลาออกได้เป็นอย่างดีด้วย
ตั้งแต่ผลการเจาะน้ำคร่ำว่าลูกของแม่เป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นชนิดที่
ไม่รุนแรงมาก ก็จริง แต่ถ้าแม่เลือกได้ แม่ไม่อยากให้ลูกสาวของแม่เป็นโรคอะไรเลย อยากให้ลูกสาวเหมือนกับเด็กอื่นๆทั่วๆไป ซึ่งตัวแม่เองก็ไม่รู้ว่าลูกน้อยที่จะเกิดมาจะเป็นยังไง ตั้งแต่วันนั้นที่รู้ จนถึงตอนนี้ แม่ก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อลูกสาว หัวใจของคนที่เป็นแม่ จะรู้สึกแย่แค่ไหนที่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นโรคตั้งแต่อยู่ในท้อง ก่อนนอนร้องไห้ เพราะสงสารลูก แต่ก็กลับคิดขึ้นมาว่า แม่ร้องไห้ แม่เครียด ลูกสาวแม่ที่อยู่ในท้องเราก็คงจะเครียดไปด้วย พ่อจะคอยปลอบใจแม่ให้ สู้ เพื่อลูกของเรา
วันที่ 31 สิงหาคม 2552 คุณหมอนัดตรวจตามปกติ ซึ่งตัวแม่เองยังไม่
มีอาการว่าจะเจ็บท้องคลอดเลย คุณหมอได้ตรวจปากมดลูกให้ บอกว่า ปากมดลูกเปิด 2 cm. แล้วให้ไปโรงพยาบาลได้เลย คงจะคลอดภายในคืนนี้แหล่ะ คุณหมอบอก ใจของแม่ตอนนั้น ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว ...พ่อพาแม่มาถึงโรงพยาบาลตอน 4 ทุ่มกว่าๆ เข้าไปในห้องรอคลอด เสียงร้อง ครวนคราง ปานใจจะขาด ทำให้ใจแม่เต้นไม่เป็นจังหวะเอาเสียเลย คิดในใจว่าทำไมเค้าต้องร้องไห้ขนาดนั้น มันเจ็บมากเลยหรอ พยาบาลให้แม่เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็โกนขนเพชรออก และก็ยังโดนสวนตูดอีกตะหาก พยาบาลบอกว่าง่ายในการทำความสะอาดและไม่เสี่ยงในการติดเชื้อด้วย ตลอดทั้งคืนนั้นตัวแม่เองก็นอนไม่หลับ เพราะเสียงร้องของแม่ข้างๆนั้นเอง รวมทั้งพยาบาลและผู้ช่วย ที่คอยมาตรวจดูปากมดลูกของแม่ตลอด สรุปว่าคืนนั้นแม่ก็ไม่เจ็บท้องคลอดเลย


จนกระทั่ง 9 โมงเช้าของวันที่ 1 กันยายน 2552 คุณหมอมาตรวจปากมดลูก เปิด 4 cm. แล้ว แต่ถุงน้ำคร่ำยังไม่แตกเลย คุณหมอเลยทำการเจาะถุงน้ำคร่ำให้ และบอกว่าแม่จะเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าทนไม่ได้ ให้ขอยากับพยาบาลได้เลย ซึ่งแม่ก็ถามว่าจะมีผลต่อลูกสาวหรอป่าว คุณหมอก็บอกว่า ก็มีผลนะ แค่นั้นแหละ แม่ก็บอกว่างั้นไม่เอาดีกว่าคะ แม่นอนทนกับความเจ็บปวดที่มาเป็นระยะๆ และรู้สึกว่าจะมากขึ้นเรื่อยๆ พลางก็ลูบท้องพูดกับลูกว่า ลูกแม่จ๋า เดียวเราก็จะได้เห็นหน้ากันแล้วนะ ช่วยๆกันหน่อยนะลูกแม่ อย่าให้แม่เจ็บนานนะ ตอนนั้นคิดว่าการร้องออกมาเป็นการปลดปล่อย เพื่อทำให้รู้สึกดีขึ้น แม่รู้สึกว่ามีน้ำอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลย จะลุกขึ้นดูก็ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บมาก มาก จนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ร้องเรียกชื่อยายตลอด และก็คิดว่า เมื่อก่อนตอนที่เกิดแม่ ยายคงจะเจ็บมากๆเหมือนกัน ความรู้สึกว่า จากที่รักแม่อยู่แล้ว กลายเป็นรักแม่ มากๆๆๆๆขึ้นไปอีก นอนร้องครวนครางจนกระทั้งเวลา 12.00 นาฬิกา ก็ต้องขอยาแก้ปวดกับพยาบาล เพราะแม่เจ็บมากๆ นอนดิ้นไป ดิ้นมา ความรู้สึกนี้ คนที่ไม่เคยไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นอย่างไร
13.30 นาฬิกา คุณหมอมาตรวจปากมดลูกอีกรอบ และก็ให้พยาบาล
เข็นแม่เข้าห้องคลอดได้เลย เสียงทั้งคุณหมอ พยาบาลและผู้ช่วย บอกให้แม่ออกแรงเบ่ง 1 2 3 เบ่ง คะ คุณแม่ เบ่งคะ อ้าว เอาใหม่นะคะ แม่จะได้ยินแต่เสียง เพราะแม่ไม่ลืมตาดูเลย ด้วยความที่เจ็บมากมาย ดีหน่อยที่ได้ฝึกการหายใจเอาไว้ ซึ่งก็ช่วยได้เยอะนะคะ แม่ใช้เวลาในการเบ่งลูก รู้สึกว่านานมาก ก็พูดกับคุณหมอว่า แม่คงไม่ไหวแล้วละ คุณหมอจะผ่าหรอว่าจะทำยังไงต่อไปก็ได้คะ เพราะตอนนั้นแม่หมดแรงแล้ว จากที่เมื่อคืน นอนก็นอนไม่หลับ แถมตอนเช้าก็ไม่ได้กินอะไร เพราะคุณหมองดอาหาร เผื่อฉุกเฉินต้องผ่าตัด แต่คุณหมอก็พยายามมากเลยคะ บอกตลอดว่าใกล้แล้วคะ คุณแม่ คุณแม่ออกแรงอีกนิดนะคะ เห็นหัวลูกสาวแล้ว แม่ก็รวบรวมแรงเบ่ง อีก รอบ จากที่คิดว่าไม่ไหวแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่ามีแรงมาจากไหน รู้สึกได้ว่ามีอะไรผ่านออกมา จากที่เจ็บท้องมากๆๆก็หายไปหมด ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ทิ้งไว้แต่ร่องรอย หน้าแม่มีแต่เหงื่อเปียกโชก ได้ยินเสียงพยาบาลบอกว่า ลูกหนัก 3650 กรัม พยาบาลพาลูกมาให้นอนบนอกแม่ ลูกสาวรู้ไหมว่า แม่ดีใจมากที่สุดในโลกเลยที่ได้เห็นหน้าลูกสาว แม่มองหน้าลูกน้อยแล้วรู้สึกว่าแม่จะหมดแรงไปเลย คุณหมอบอกว่า ลูกตัวโตมาก ต้องใช้อุปกรณ์เข้ามาช่วย คือเครื่องดูด มันจะไม่มีผลอะไรกับลูกน้อย ศีรษะของลูกที่ไม่เป็นรอยเพราะคุณแม่เบ่งเป็น คุณหมอบอก พยาบาลบอกเวลาที่คลอดลูก 15.59 แม่นอนที่ห้องคลอดอยู่ 2 ชม.แบบว่าหลับแต่ไม่สนิทนะ พ่อเข้ามาจับมือแม่ บอกว่าลูกสาวน่ารักมากเลย แม่ยิ้ม อยากจะออกไปกอดลูก หลังคลอดจะรู้สึกว่าหิวน้ำเย็นมาก ระหว่างที่เบ่งอยู่พยาบาลยังคอยป้อนน้ำให้กินเลย เพราะต้องใช้แรงมากจริงๆ ความรู้สึกของความเป็นแม่ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง


หลังจากออกจากห้องคลอดแล้ว แม่ก็มานอนรอที่ห้องให้พยาบาลพาลูกมาให้ ซึ่งยายของลูกก็มารอแม่อยู่แล้ว ได้เห็นยายแม่ดีใจมาก รู้สึกอุ่นใจที่สุดเลย แล้วพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้แม่ โอ้ ลูกสาวของแม่ ช่างน่าเอ็นดูเหลือเกิน พ่อบอกว่าลูกสาวยิ้มเก่่งมากตั้งแต่ออกมาจากห้องคลอดแล้ว ออเอ้ ตลอดเลย หันมอง โน่นนี่ได้เห็นหน้าลูกสาวและแม่ปลอดภัย พ่อบอกว่าก็ดีใจที่สุดแล้ว มื้อแรกของลูกน้อยคือน้ำนมแม่ แม่ตั้งใจจะเลี้ยงลูกน้อยด้วยนมแม่เอง แม่ถามคุณหมอว่า จะรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของแม่จะมีอาการซีด มากน้อย แค่ไหน คุณหมอบอกว่า เลือดในตัวลูกน้อยตอนนี้จะเหมือนกับของแม่ ต้องรอให้ลูกน้อยอายุครบ 1 ขวบก่อนถึงจะตรวจเลือดลูกน้อยได้ แม่ก็ได้แต่ภาวนา ขออย่าให้ลูกสาวแม่เป็นอะไร ถ้ารักษาหายได้ แม่ก็จะรักษา
แม่กับพ่อได้คิดกันไว้ล่วงหน้าว่าต่อไปลูกอาจจะต้องการใช้เลือดที่เข้า
กับตัวลูกเอง พ่อกับแม่เลยใช้วิธีการเก็บสเต็มเซลล์ของลูกไว้ เผื่ออนาคตลูกสาวของแม่มีความจำเป็นต้องใช้ สิ่งอะไรที่พ่อกับแม่ ทำเพื่อลูกสาวได้ พ่อกับแม่ก็จะทำ และก็จะทำให้ดีที่สุด เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ทุกคนนะคะ

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สิ่งที่ต้อง'ทำ' หลังรู้ว่า 'ตั้งครรภ์'

...ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับว่าที่คุณแม่มือใหม่ไว้ล่วงหน้าเลย
นะคะ สำหรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ก็ว่าได้เลยละ (อาจฟังดูเวอร์ไปนิด) แต่สำหรับตัวอุ้ยแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เลย เรามาดูกันนะคะว่าสิ่งใดที่ต้องทำก่อน หลัง ต้องมีการวางแผนไว้นิดนึงนะ กันลืมนะคะ

1>> ไปฝากท้อง จะเป็นที่คลินิก,โรงพยาบาลรัฐหรอเอกชนก็ได้
สำหรับตัวอุ้ยเองไปฝากที่คลินิก เค้าบอกว่ายิ่งฝากครรภ์เร็วเท่าไร ก็ยิ่ง
เป็นประโยชน์ทั้งแม่และลูกมากเท่านั้น อุ้ยก็เลยไปฝากท้องแต่เนิ่นๆเลยเหมือนกัน ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆทั่วไป ที่สามารถมีลูกได้ปกติ โดยที่ไม่ได้ตรวจเลือดก่อนตั้งท้อง(แนะนำเพื่อนเลยๆนะคะว่าต้องตรวจเลือดก่อนที่จะท้องไม่งั้นก็จะต้องเป็นเหมือนอุ้ย คือทั้งตัวอุ้ยเองและตัวสามี เป็นพาหะธาลัสซีเมียชนิดเดียวกัน คือ เบต้า ธาลัสซีเมีย ซึ่งก็คือ
-ลูกจะเป็นปกติ เท่ากับ ร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4
-ลูกจะมียีนแฝง (เป็นพาหะ) เท่ากับ ร้อยละ 50 หรือ 2 ใน 4
-ลูกจะเป็นธาลัสซีเมีย เท่ากับ ร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4

...ซึ่งลูกของอุ้ยเองก็เป็น..โรคธาลัสซีเมีย.. แต่เป็นชนิดที่ไม่รุนแรงมาก เกร็ดเลือดของตัวลูกมากกว่าเกร็ดเลือดของตัวอุ้ยเองที่เป็นแค่พาหะอีก ทำการตรวจด้วยการ เจาะน้ำคร่ำ ปกติการเจาะน้ำคร่ำสามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 16 สัปดาห์เป็นต้นไป แต่สำหรับตัวอุ้ยกว่าหมอจะได้ส่งตัวไปก็ 18 สัปดาห์กว่าแล้ว เกือบไม่ได้เจาะ เพราะว่าอายุครรภ์มากแล้ว คุณหมอที่ทำการเจาะน้ำคร่ำบอกนะคะ (รายละเอียดย่อยๆ เดียวค่อยเล่าในหัวข้ออื่นน่ะค่ะ)ตอนนั้นถ้าลูกเป็นโรคธาลัสซีเมีย ชนิดที่รุนแรงมาก หมอก็จะแนะนำให้เอาออกแต่คุณแม่ลองคิดดูซิค่ะว่า 18 สัปดาห์กว่าแล้ว ลูก มีครบทุกอย่างแล้ว จะให้เอาออกได้ยังไง อุตสาห์อุ้มท้องมาตั้งหลายสัปดาห์แล้ว จะทำใจได้ยังไง
...สำหรับคุณแม่ที่ไปฝากท้อง จะได้ตรวจร่างกายอย่างละเอียด คำนวณกำหนดวันคลอดคร่าวๆ พร้อมซักประวัติเพื่อประเมินว่าคุณแม่มีความเสี่ยงเรื่องใดบ้างในการตั้ง ครรภ์ครั้งนี้ เพราะฉะนั้นข้อมูลส่วนตัวที่คุณแม่ต้องเตรียมไปฝากครรภ์คือ รายละเอียดเกี่ยวกับการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย ประวัติการเจ็บป่วย การแพ้ยาต่างๆ
2>> หาข้อมูลให้พร้อมสู่การเป็น ‘แม่'
ไม่ว่าจะ เป็นตำรับตำรา นิตยสาร ข้อมูลตามเวปไซต์แม่และเด็ก หรือ
การเข้าคอร์สอบรมแม่ตั้งครรภ์ สิ่งเหล่านี้จะช่วย update ข้อมูลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ การดูแลครรภ์ ไปจนกระทั่งการดูแลลูกหลังคลอด เพื่อให้ว่าที่คุณแม่ได้เปิดโลกทัศน์และเตรียมตัวสู่การเป็นแม่ได้อย่างถูก วิธียังไงละคะ
3>> เตรียมรับมือกับอาการแพ้ท้อง
อาการแพ้ท้องของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันมากน้อยแตกต่างกันไป
ใครที่ไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่าทรมานแค่ไหน มีทั้งคลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เหม็นเบื่อไปสารพัด(แม้แต่สามีอยู่ใกล้ยังเหม็นเลย เหอๆ) บ้างก็อยากกินของเปรี้ยวๆ แปลกๆ ขอเพียงแค่ได้กินนิดเดียวก็หายอยากแล้ว หากไม่ได้กินเหมือนใจจะขาดซะให้ได้ วิธีแก้อาการแพ้ ก็คือหาขนมเครกเกอร์มากินช่วงที่มีอาการคลื่นไส้ หรอจะเป็นน้ำขิงอุ่นๆก็ช่วยได้ไว้จิบระหว่างวัน และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และไม่ควรปล่อยให้ท้องว่างน่ะคะ
4>> สนุกกับการ Mix & Match
จะเป็นกางเกงหรือกระโปรงก็ไม่มีปัญหา ถึงท้องก็สวยเท่ได้ ขนาดท้อง
จะเริ่มขยายชัดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 4 เดือน (สำหรับท้องแรกบางคนอาจจะดูไม่ชัดมากเท่าไหร่) คุณแม่จึงควรเตรียมชุดคลุมท้องที่สวมใส่ง่าย และสะดวกเวลาที่ต้องเข้า- ออกห้องน้ำบ่อยๆ ยิ่งอายุครรภ์มากขึ้น ก็จะเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น รวมทั้งชุดชั้นในที่ใส่แล้วสบายไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด วิธีเลือกเสื้อชั้นในก็ให้เลือกชนิดที่มีตะขอปรับขยายขนาดไว้มากๆ จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อยๆ ส่วนกางเกงชั้นในช่วงอายุครรภ์อ่อนๆ ก็อาจใส่แบบบิกินี่ที่ไม่รัดเอวมากเกินไป พออายุครรภ์มากขึ้นค่อยเปลี่ยนมาใส่แบบพยุงครรภ์เพื่อช่วยรับน้ำหนักท้องแทนคะ
5>> ไปหาหมอฟัน
เมื่ออาการแพ้ท้องค่อยๆ ทุเลาลง แนะนำว่าควรไปพบทันตแพทย์อย่าง
น้อยสักครั้งนะคะ เพื่อตรวจสุขภาพฟัน ถ้าฝากท้องที่โรงพยาบาลรัฐ จะมีการตรวจฟันให้ด้วยถ้าฝากที่คลินิก ต้องไปหาหมอฟันเพื่อตรวจเองเพราะคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะมีปัญหาสุขภาพฟันมีมากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นน้ำลายที่มีมากในช่วงท้อง 3 เดือนแรกอาจส่งผลต่อฐานฟัน หรือการกินของขบเคี้ยวผลไม้รสเปรี้ยว เพื่อบรรเทาอาการแพ้ท้องอาจทำให้เคลือบฟันสึกหรือฟันผุได้ง่าย รวมถึงฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ก็เป็นตัวการทำให้ เนื้อเยื่อต่างๆ อ่อนนุ่มลงและมีเลือดมาเลี้ยงเหงือกมากขึ้นจึงทำให้เลือดออกตามไรฟันได้ง่ายกว่าปกติ และที่สำคัญก่อนทำฟันอย่าลืมบอกคุณหมอด้วยว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่คะ
6>> เตรียมร่างกายให้พร้อม
การบริหารร่างกายเพื่อ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการคลอดจะช่วยให้
คุณแม่สบายใจและมั่นใจในการคลอดมาก ขึ้นคะ โดยเฉพาะการบริหารกล้ามเนื้อขาและอุ้งเชิงกราน เช่น ฝึกนั่งแบะขาดึงข้อเท้า ฝึกนั่งยองๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย เพื่อให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและต้นขาแข็งแรง และจะช่วยให้คลอดง่ายขึ้น จะเป็นการบริหารแบบโยคะก็ช่วยได้นะคะ แต่ควรระวังท่าในการบริหาร เพราะอาจจะมีผลกับลูกในท้องได้
7>> อายุครรภ์ยิ่งมากขึ้น ระวังตะคริวถามหา
ตะคริวเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์ มี
สาเหตุมาจากการยืนเดินมาก หรือนั่งห้อยเท้าตลอดทั้งวัน และเป็นสัญญาณที่ร่างกายบอกให้รู้ว่าคุณแม่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอหรือขาด เกลือแร่ระหว่างตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรดื่มนมหรือกินอาหารที่มีแคลเซียม เช่น กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อยหากเป็นผลไม้ที่ให้แคลเซียมเยอะก็คือ ฝรั่ง ซึ่งสามารถกินได้ตลอดทั้งวัน ส่วนวิธีแก้ไขเมื่อเป็นตะคริวทำได้ง่ายๆ คือ รีบเหยียดขาออกไปให้ตึงที่สุด จากนั้นดัดปลายเท้ากระดกขึ้นห้ามบีบนวดบริเวณที่เป็นตะคริวเด็ดขาด เพราะจะทำให้คุณแม่ปวดขามากๆกว่าจะหายได้ก็หลายวันคะ เหยียดขาให้ตรงๆสักพัก เพื่อให้กล้ามเนื้อให้คลายออก
8>>เตรียมตั้งชื่อลูกสาว – ลูกชายรอได้เลยคะ
ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่จะรู้แล้วลูกของเราเพศชายหรอเพศหญิง ควรจะหา
ข้อยุติ เกี่ยวกับชื่อลูกให้ได้ เพราะช่วงที่คุณแม่เจ็บท้องคลอดแล้วพยาบาลต้องถามชื่อเพื่อไปทำสูติบัตรลูกจะได้ไม่ ฉุกละหุก และไม่ต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนชื่อกันใหม่อีก สำหรับคุณแม่ที่เชื่อเรื่องชื่อมีอิทธิพลกับชีวิต แนะนำว่าควรรีบหาตำรามาอ่านและเลือกชื่อที่เหมาะสมเสียแต่เนิ่นๆ แบบว่าตั้งเผื่อไว้เลย 7 วัน คลอดออกมาวันไหนก็ชื่อนั้นคะ
9>> เคลียร์งานและลาคลอด
สำหรับคุณแม่ที่ยังทำงานอยู่ก็ควรจะเคลียร์งานต่างๆ ที่คั่งค้างให้เรียบ
ร้อยก่อนถึงกำหนดคลอดประมาณ 1 เดือน ที่สำคัญอย่าลืมสอบถามรายละเอียดวันลาคลอดของบริษัทด้วยว่า ลาได้ทั้งหมดกี่เดือน กี่วัน สมมุติถ้าลาวันนี้จะต้องกลับมาทำงานอีกทีเมื่อไหร่ รวมถึงสอบถามเรื่องสวัสดิการต่างๆ ให้ชัดเจนด้วย เพื่อคุณจะได้ไม่เสียประโยชน์ที่พึงได้รับ
10>> จัดห้องเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่
หลังจากลางานแล้วคุณแม่ก็จะมีเวลาพักผ่อน กาย ใจ เต็มที่ ระหว่างนี้
ควรฝึกการหายใจผ่อนคลายความเจ็บปวดระหว่างคลอดไปในตัว หัดขมิบหน้าท้อง ชวนคุณสามีจัดเตรียมห้องหับไว้ต้อนรับสมาชิกตัวน้อย รวมไปถึงข้าวของต่างๆ ที่จะต้องให้คุณสามีเอาไปให้ที่โรงพยาบาล ควรจะจัดเตรียมไว้แต่เนิ่น กันลืม เช่น ผ้าอ้อม เสื้อผ้าทั้งของลูกและของแม่สำหรับใส่กลับบ้าน ที่ลืมไม่ได้คือเบอร์ติดต่อฉุกเฉินกรณีที่คุณแม่เกิดเจ็บท้องคลอดกะทันหันไว้ด้วย
…การได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เมื่อถึงคราวที่
จะต้องเข้าห้องคลอดกันจริงๆ คุณแม่ก็จะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง และทำหน้าที่ให้กำเนิดชีวิตน้อยๆ ได้อย่างมั่นใจแล้วคะ

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ครั้งแรกกับคำว่า “แม่”


...ไปหาหมอซาวด์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2552 หมอบอกว่าท้อง แต่ให้มาซาวด์อีกรอบดูการเจริญเติบโตของเด็กในครรภ์อีกครั้ง อาจจะท้องลมหรอท้องหลอกก็ได้ ตอนนั้นก็งงกับคำว่า ท้องลมเหมือนกันค่ะ ก็ถามคุณหมอ ๆ ท่าน ก็บอกว่า มีการตั้งครรภ์จริง แต่ไม่มีตัวเด็ก หรือที่เรียกกันว่า มี ภาวะไข่ฝ่อ (Blighted ovum) ตอนนั้นก็ลุ้นๆอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นท้องแรกซะด้วย ความรู้สึกครั้งแรกที่รู้ตัว ว่าตัวเองกำลังท้อง มีทั้งตื่นเต้น กลัว สารพัด กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง คิดไปต่างๆนาๆ ว่ารูปร่างเราจะเปลี่ยนไปบ้างล่ะ อารมณ์เราจะเป็นยังไง (ฟังเค้ามาอีกทีว่า คนท้องอารมณ์แปรปรวนง่าย) ถามว่ารู้สึกดีใจมั้ย? ก็ดีใจนะ เพราะกับแฟนก็คบกันมา 10 ปีแล้ว ถึงวันที่ต้องไปฟังผล คุณหมอบอกว่า เด็กมีการเจริญเติบโตนะ จะฝากท้องเลยหรอป่าว โอ๊ย!!! ดีใจสุดๆ (แต่ก็มีแอบคิดนะว่า ต่อไปสามีคงจะรักลูกมากกว่ารักเรา แต่ก็คิดกลับกันว่า เราก็รักลูกเรามากกว่าสามีเช่นกัน )บางครั้งความคิดก็ตลกๆเหมือนกัน คิดว่าเราจะรักลูกแค่ไหนนะ แล้วหน้าตาลูกจะเป็นยังไง เหมือนพ่อหรอว่าเหมือนแม่นะ แล้วเพื่อนๆคนอื่นๆล่ะค่ะ มีความรู้สึกยังไงกันบ้างค่ะ มาเล่าให้ฟังบ้างนะ ^^