Welcom to new mom blog

ยินดีต้อนรับคุณพ่อ คุณแม่มือใหม่ แชร์ประสบการณ์และหาความรู้เพิ่มเติม

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่า จากแม่คนนี้ที่รักลูก

.....แม้ชีวิตแม่จะพบการกับสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ถึง 2 ครั้ง 2 ครา ในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่นานนัก ปี 2551 งานแต่งงานของพ่อกับแม่ ก็กลายเป็นวันที่ปู่ของลูกได้จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากนั้นอีก 1 ปี แม่ก็ต้องสูญเสียตาของลูกไปอีกคน ในช่วงเวลา 2 ปี ที่แม่ต้องพบกับความเสียใจ ร้องไห้ แต่แม่ก็ยังยิ้มได้ เมื่อได้เห็นใบหน้าน้อยๆของลูกสาวของแม่
.....ช่วง 1 ถึง 3 เดือนแรกที่แม่ตั้งครรภ์ลูก มีแต่การรอคอยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือดของแม่ รอฟังผลตรวจเลือดของพ่อ รอฟังผล รอไปเจาะน้ำคร่ำ รอฟังผล ลูกรู้มั้ยว่าแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันของแม่ เหมือนแม่จะนับเป็นนาที ก็ว่าได้ แถมแม่ยังมีอาการแพ้ท้อง กินอะไรไม่ค่อยได้ แม้แต่นม แม่ก็ไม่อยากดื่ม ซึ่งก็โดนพ่อของลูกดุประจำ สิ่งที่ชอบทำมากที่สุดคือ การนอน เท่านั้น
.....พอเข้าเดือนที่ 4 อาการแพ้ท้องเริ่มลดลงแระ กินอาหารได้มากขึ้น แต่แม่ก็ต้องมาคิดหนักเรื่องผลการตรวจเลือด ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ตัวแม่เป็นพาหะธาลัสซีเมีย ซึ่งพ่อของลูกก็เป็นพาหะธาลัสซีเมียเหมือนกัน แถมยังเป็นขนิดเดียวกันอีกด้วย คือ ชนิด B เบต้า ซึ่งหมอที่แม่ฝากท้องลูกได้ส่งตัวแม่ไปเจาะน้ำคร่ำ การเจาะน้ำคร่ำผ่านไปด้วยดี หลังเจาะเสร็จ คุณหมอให้นอนดูอาการ แม่รู้สึกได้เลยว่าลูกดิ้นแรงมากๆ ตุบๆเลยท้องแม่
.....แม่รอผลการตรวจน้ำคร่ำเป็นเดือน ความรู้สึกแม่เหมือนเป็นปีเลยล่ะ การรอคอยนี้ช่างเหนื่อยเหลือเกิน
.....และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง แม่ไปฟังผลกับพ่อของลูก คำตอบที่แม่ได้รับก็คือ ลูกเป็นโรคธาลัสซีเมีย ใจของแม่แทบจะแตกเป็นชิ้นๆเมื่อได้ยินคำนั้น หูมันอื้อ พูดอะไรไม่ออก เสียงไม่รู้หายไปไหน น้ำตามันไหลโดยอัตโนมัติ แม่นั่งรอพบคุณหมอ ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป  ก่อนหน้านี้แม่ก็หาข้อมูลมาพอสมควร รู้แค่ว่า ถ้าตรวจพบว่าลูกในครรภ์เป็นโรค ก็ให้เอาลูกออก โดยการทำแท้ง แม่แทบล้มทั้งยืน คิดว่าทำไมเราอยู่ในส่วนของ 1 ทำไมไม่อยู่ในส่วนที่เป็น 4 ก่อนหน้านั้นแอบหวังว่าเราคงไม่โชคร้ายหรอกน๊า แต่สำหรับแม่โชคไม่เข้าข้างเลย
.....แต่เมื่อแม่พบคุณหมอแล้ว คุณหมอบอกว่า ลูกของแม่เป็นโรคก็จริง แต่เป็นชนิดที่ไม่รุนแรงมาก สรุปก็คือ แม่สามารถที่จะตั้งท้องลูกของแม่ต่อไปได้ (แอบคิดไว้แล้วว่าถ้าคุณหมอให้เอาออก แม่จะไม่เอาออกแน่ๆ) แค่ได้ยินแม่ก็ดีใจมากๆ ถึงมากที่สุดแล้วลูกเอ๊ย ไม่ว่าลูกของแม่จะเป็นหญิงหรือชาย ของให้ครบ 32 ร่างกายแข็งแรง เท่านี้แม่ก็มีสุขใจแล้ว
.....ลูกรู้มั้ยว่าแม่นอนร้องไห้เกือบทุกคืนสงสารลูก ยังอยู่ในท้องแม่แท้ๆ มีโรคติดตัวซะแล้ว แต่ลูกก็ทำให้แม่คิดได้ว่า ถ้าแม่อ่อนแอ แล้วลูกของแม่จะเป็นยัง แค่นี้แม่ก็เปลี่ยนตัวเองใหม่ กินของที่มีประโยชน์ ทั้งๆที่ก่อนท้อง บางอย่างแม่ก็ไม่กิน ไม่ร้องไห้ เข้มแข็ง ไม่คิดมาก เพื่อลูกของแม่ รวมไปถึงการหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย ถึงแม่จะไม่ได้เก่งอะไรมากก็ตาม แต่แม่ก็หาความรู้ได้จาำก google ซึ่งสามารถที่จะตอบแม่ได้ทุกอย่าง
.....กำหนดคลอดของลูกคือ วันที่ 2 กันยายน 2552 แม่ตั้งใจไว้ว่าแม่จะคลอดลูกแบบธรรมชาติ ซึ่งแม่ก็หาข้อมูลมาอีกนั้นแหละว่า เด็กที่ผ่านช่องคลอดของแม่นั้น จะมีภูมิคุ้มกัน และลูกจะได้รับจุลินทรีย์ที่ดีด้วย จะทำให้ระบบทางเดินอาหารแข็งแรง ระบบย่อยและการดูดซึมที่ดีอีกด้วย
.....ซึ่งเด็กที่ผ่าคลอดจะไม่ได้รับตรงนี้ เด็กที่ผ่าคลอดและไม่ได้กินนมแม่ ต้องใช้เวลานานกว่า 6 เดือนหรือมากกว่า จึงจะมีจุลินทรีย์สุขภาพใกล้เคียงกับเด็กที่คลอดแบบธรรมชาติ ที่แม่ต้องเปลี่ยนหมอที่ฝากท้อง เพราะคุณหมอคนเก่าไม่รับฝากพิเศษแบบคลอดธรรมชาติ ตอนนั้นอายุครรภ์แม่ได้ 29 สัปดาห์
.....แม่หาข้อมูลไปเจอเกี่ยวกับการเก็บ Stem Cell ของลูก แม่กับพ่อก็คิดเหมือนกันว่า เราน่าจะเก็บ Stem Cell ของลูกน่ะ เพราะแม่ก็รู้อยู่แล้วว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องเลือด ซึ่งแม่ก็บอกไม่ถูกว่าต่อไป เมื่อลูกของแม่โตขึ้นมาแล้ว ลูกจะซีด ตัวจะเหลือง มากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่า เก็บ Stem Cell จากสายสะดือของลูกก่อนดีกว่า ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ใช่คนที่มีเงินทองมากมาย แต่เพื่อลูก พ่อของลูกต้องทำงานเพิ่มเพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย ซึ่งก็ไม่ใช่น้อยๆเลย แม่เลือกแบบผ่อนส่ง คือ ต้องจ่ายเงินให้เค้าทุกๆวันเกิดของลูก คือวันที่ 1 กันยายน 2552 แม่หวังว่าอนาคตต่อไปการแพทย์ก้าวหน้า สามารถรักษาโรคนี้ได้ (แอบหวังเล็กๆ หุหุ)
.....วันที่ 31 สิงหาคม 2552 คุณหมอนัดตรวจครรภ์ตามปกติ ใกล้วันคลอดเข้ามาทุกที แต่แม่ไม่มีอาการอะไรเลย คุณหมอตรวจปากมดลูกเปิด 2 เซน แระ ให้ไปโรงพยาบาลได้เลย ตัวแม่เองยังไม่อยากไป กลัวง่ะ 555+ แต่พ่อของลูกบอกให้ไปเตรียมตัวไว้ก่อนก็ดีน่ะ เพราะคุณหมอบอกว่าไม่น่าจะผ่านคืนนี้น่ะ แม่นอนที่ห้องรอคลอดทั้งคืน ไม่มีอาการเจ็บคลอดอะไรเลย ยังมานั่งกินขนม ถ่ายรูป อยู่หน้าห้องคลอดกับพ่อของลูก และอาๆของลูกด้วย
.....วันที่ 1 กันยายน 2552 เวลา 15.59 นาที เป็นวันเกิดของลูกสาวแม่ การคลอดแบบธรรมชาติก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ผิดปกติไปนิดนึงก็คือ คุณหมอต้องใช้เครื่องดูดสูญยากาศพาลูกออกมาจากช่องคลอด เพราะลูกตัวใหญ่มาก น้ำหนัก 3650 กรัม เมื่อเทียบกับร่ายกายของแม่ หลังจากที่ลูกคลอดออกมา แม่ก็ให้ลูกแม่ได้ดูดนมของแม่เอง ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของแม่อีกนั้นแหละ หุหุ เพื่อลูกๆ  แม่ได้เห็นหน้าลูกก็ดีใจมากๆ ดีใจที่สุด  พ่อและยายของลูกบอกแม่ว่า ลูกคุยอ้อแอ้เชียว มียิ้มด้วยน่ะ ทะเล้นจริงๆเลย อารมณ์ดีมากมาย
.....แม่ถามคุณหมอหลังคลอดลูกสาวแล้วว่า ลูกสาวของแม่สามารถตรวจเลือดได้เลยมั้ย เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย คำตอบก็คือ ต้องรอให้ลูกสาวของแม่อายุครบ 1 ขวบก่อน เพราะตอนนี้เลือดในตัวของลูกจะเหมือนกับเลือดของแม่ รอให้ร่างกายลูกผลิตเลือดเองได้สมบูรณ์เสียก่อน
แม่อยากจะบอกลูกว่า แม่รักลูกสาวคนนี้ที่สุดเลย เธอมีชื่อว่า เด็กหญิงณอัฏฐฤดี มีเดช ชื่อเล่นว่า น้องเอ่เอ้ค่ะ ^^

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การนวดสัมผัส ลูกน้อย

ห่างหายไปนานเลยค่ะ ไม่ได้อัพบล็อคเลย เพราะต้องพาเจ้าตัวเล็กไปเยี่ยมคุณยายค่ะ ไม่พาไปมีงอลแน่ๆ เหอๆ    ระหว่างนั่งรถไปอ่านหนังสือเจอเรื่องเกี่ยวกับการนวดสัมผัส น่าสนใจมากๆเลยค่ะ เลยเก็บมาฝาก คุณแม่มือใหม่กัน
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วสิ่งที่เราอยากเห็นก็คือ การพัฒนาการที่ดีสมวัยของลูก และอีกสิ่งหนึ่งที่คนเป็นพ่อเป็นแม่คิดว่าสำคัญต่อพัฒนาการที่ดีของลูกก็คือ การนวดสัมผัสทารก ไม่ใช่แค่การพัฒนาทางด้้านร่างกายเท่านั้น แต่เวลาที่สองมือเราได้ไปสัมผััสตัวลูก เขาจะได้รับรู้ถึงความรัก ความเอาใจใส่ที่เรามีต่อเขา และยังทำให้เราได้ใกล้ชิดกับลูกมากขึ้นอีกด้วย
การนวดสัมผัสเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย และจิตใจ ทางด้านร่างกายจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เลือดมาไหลเวียนเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนนั้นดีขึ้น ส่วนทางด้านจิตใจ คุณพ่อคุณแม่ได้ถ่ายทอดความรัก ความอบอุ่น ให้กับลูกน้อยด้วย และในขณะเดียวกันนั้น คุณพ่อคุณแม่ก็ให้กระตุ้นประสาทสัมผัสทางด้านอื่นๆด้วย จากการที่พูดคุย  จากการที่มองสบตา ลูกก็จะรู้ถึงความอบอุ่นที่คุณพ่อคุณแม่ให้กับเขา
การนวดสัมผัสมีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศนั้น Dr.Tiffany Field ผู้อำนวยการสถาบันการนวดสัมผัสแห่งมหาวิทยาลัยไมอามี พบว่า ทารกเกิดก่อนกำหนด ที่ได้รับการนวดสัมผัสวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที เป็นระยะเวลา 10 วัน จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 47 เปอร์เซนต์ แข็งแรง และกลับบ้านได้เร็วค่ะ สำหรับในประเทศไทยนั้น ก็ได้มีการศึกษาเช่นเดียวกัน ในทารกที่เกินก่อนกำหนด โดยทำการนวดวันละครั้ง ครั้งละ 15 นาที เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ก็พบว่า ทารกจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 35 เปอร์เซ็นต์ และแข็งแรง ช่วยทั้งในด้านร่่างกายและจิตใจด้วยน่ะค่ะ
การเตรียมความพร้อมนั้น ต้องเตรียมทั้งคุณพ่อคุณแม่ผู้นวดด้วยจะต้องพร้อมที่จะนวด และลูกก็พร้อมที่จะนวดด้วย จะต้องเป็นช่วงที่เขาตื่น อารมณ์ดี ไม่อิ่มไม่หิว สถานที่ต้องดูว่าไม่ร้อน หรือว่าไม่เย็นจนเกินไป เพราะในช่วงที่นวดจะต้องถอดเสื้อลูกออก นุ่งแต่เฉพาะผ้าอ้อม และที่สำคัญก่อนการนวดผู้นวดจะต้องล้างมือให้สะอาดทามือด้วยผลิตภัณฑ์เด็ก ไม่ว่าจะเป็นแป้งหรือว่าโลชั่นก็ได้ เท่านี้ ลูกน้อย ก็ได้สัมผัสรักอุ่นๆจากมือคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ..^^